กลุ่มบริษัทเอไอเอ แถลงผลประกอบการอันแข็งแกร่งประจำปี 2566

0
70

มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลักใน 10 ตลาด

ส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV EQUITY) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ก่อนหักส่วนที่คืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 5.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ

กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ต่อหุ้น; เงินปันผลรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อหุ้น คณะกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทเอไอเอ (“บริษัท”) มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศผลประกอบการของกลุ่มบริษัทเอไอเอ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 256

อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่:

ผลประกอบการของธุรกิจใหม่

  • มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เป็น 4,034 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง อาเซียน(2) และอินเดีย มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก
  • เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 เป็นสถิติใหม่ มูลค่า 7,650 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB margin) เป็นร้อยละ 52.6 โดยครึ่งปีหลังเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก

รายได้และทุน

  • กำไรจากการดำเนินงานบนมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Operating Profit) มูลค่ารวมเป็น 8,890 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 37ต่อหุ้น
  • อัตราผลตอบแทนจากการดำเนินงานบนมูลค่าธุรกิจประกันภัย (ROEV) เป็นร้อยละ 12.9 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากร้อยละ 9.4 ในปี 2565
  • กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) อยู่ที่ 6,213 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ต่อหุ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ต่อหุ้น ภายใต้หลักพื้นฐานการดำเนินงาน(3)
  • ส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) อยู่ที่ 6,041 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อหุ้น
  • ส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ก่อนคืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นโดยการจ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืน จำนวน 5.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ; ส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity) อยู่ที่ 70.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากคืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ต่อหุ้น
  • เงินกองทุนส่วนเกิน เป็นมูลค่า 16.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566
  • ของกลุ่มบริษัท (Group LCSM) แข็งแกร่งมากและครอบคลุมอัตราส่วน(4) ร้อยละ 275 ตามเกณฑ์ GWS และร้อยละ 335 ตามเกณฑ์ผู้ถือหุ้น

เงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืน

  • เงินปันผลประจำปีจำนวน 119.07 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น
  • เงินปันผลรวมจำนวน 161.36 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 5
  • ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อหุ้นคืนรวมทั้งสิ้น3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566

นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “เอไอเอมีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงมีผลการดำเนินงานทางการเงินโดยรวมที่แข็งแกร่ง ด้วยแรงผลักดันทางธุรกิจที่มั่นคงอย่างต่อเนื่องหลังการแพร่ของโรคระบาด เห็นได้จากเบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 ซึ่งเป็นสถิติใหม่ในประวัติการณ์ และมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เป็นมูลค่ากว่า 4 พันล้านล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ พอร์ตโฟลิโอธุรกิจที่หลากหลายและช่องทางการขายที่โดดเด่นของเราสามารถสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่สูงขึ้นจากตลาดหลักของเราในอาเซียน ฮ่องกง จีนแผ่นดินใหญ่ และอินเดีย รวมถึงการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักใน 10 ตลาด

“ด้วยความมีวินัยทางการเงินที่สม่ำเสมอของเรา และความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างมีคุณภาพของเอไอเอนั้น ได้ส่งเสริมการเติบโตของตัวชี้วัดทางการเงินที่สำคัญอื่น ๆ ทั้งหมดของเรา เช่นการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงานบนมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Operating Profit) ส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity) กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) รวมไปถึงส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) บนพื้นฐานต่อหุ้น โดย EV Equity เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เป็นมูลค่า 76.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนหักส่วนที่คืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นโดยการจ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืนจำนวน 5.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถือได้ว่าสถานะเงินทุนของเอไอเอยังคงแข็งแกร่งมาก โดยมีเงินกองทุนส่วนเกินเป็นมูลค่า 16.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอัตราส่วนของวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศของกลุ่มบริษัท (Group LCSM)  ครอบคลุมอัตราส่วน(4) ร้อยละ 275

“คณะกรรมการได้แนะนำให้จ่ายเงินปันผลประจำปีจำนวน 119.07 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น ซึ่งจะทำให้ยอดเงินปันผลรวมอยู่ที่ 161.36 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปี 2565 โดยเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่รอบคอบ ยั่งยืน และก้าวหน้าของเอไอเอ ซึ่งจะผลักดันให้มีโอกาสเติบโตในอนาคตและความยืดหยุ่นทางการเงินของกลุ่มบริษัท

“ผลประกอบการธุรกิจใหม่ที่ยอดเยี่ยมของเอไอเอได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์มการขายที่ทรงพลังและไม่มีใครเทียบได้ของเรา โปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ที่แตกต่างของเราเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญสำหรับเอไอเอ และสามารถสร้างการเติบโตมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ให้กับกลุ่มบริษัทเอไอเอที่ยอดเยี่ยมถึงร้อยละ 23 โดยได้แรงหนุนจากทั้งจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานและอัตราผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ช่องทางการขายผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวางของเราสามารถช่วยให้เราขยายการเข้าถึงตลาดและสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 โดยได้รับแรงส่งเสริมจากผลงานที่ยอดเยี่ยมทั้งพันธมิตรธนาคารและช่องทางของที่ปรึกษาด้านประกันชีวิตและการเงิน (IFA)

“เอไอเอ ประเทศจีน มีการเติบโตเชิงบวกของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่ร้อยละ 20 ตลอดปี 2566 เรามองเห็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ที่ยอดเยี่ยมเมื่อผลกระทบจากการแพร่ของโรคระบาดลดลง โดยมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนธันวาคม โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้นของแบบประกันสะสมทรัพย์ระยะยาวและการปรับราคาผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB margin) เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2566

“ตัวแทนในพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเอไอเอ ประเทศจีน ประสบความสำเร็จในการสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นอัตราเลขสองหลักทั้งจากการดำเนินงานในตลาดที่มีอยู่และตลาดใหม่(5) โดยมีผลมาจากความมุ่งมั่นในกลยุทธ์พรีเมียร์ เอเจนซี่ของเรา ซึ่งยังคงให้ความสำคัญกับการสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพและการพัฒนาตัวแทนใหม่อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เราเริ่มขยายภูมิภาคใหม่ ในปี 2562 ขณะนี้เราได้ขยายฐานธุรกิจของเอไอเอ ประเทศจีน เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าใน 10 ภูมิภาค หลังจากเปิดตัวการดำเนินงานใหม่ของเราในเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนานในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 โดยการจำลองโมเดลและขยายการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ตลาดใหม่ของเราได้สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ถึงร้อยละ 55 เพิ่มขึ้นในปี 2566 และมีส่วนสนับสนุนในการสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่เกินกว่าร้อยละ 5 ของมูลค่าธุรกิจใหม่ทั้งหมดที่มาจากช่องทางตัวแทนของเอไอเอ ประเทศจีน ในช่วงครึ่งปีหลัง

“จีนแผ่นดินใหญ่ยังคงมอบโอกาสมหาศาลสำหรับการประกันชีวิตและสุขภาพ ในปี 2566 เอไอเอ ประเทศจีน ได้กระชับความร่วมมือกับพันธมิตรธนาคารเชิงกลยุทธ์และมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) จากการขายผ่านช่องทางธนาคารมากกว่าสามเท่า การลงทุนร้อยละ 24.99 ของเราใน China Post Life ช่วยทำให้เราได้รับมูลค่าที่สำคัญจากกลุ่มลูกค้าเพิ่มเติมที่สามารถส่งเสริมกลยุทธ์ของ เอไอเอ ประเทศจีน เป็นอย่างมาก แม้ว่าจะไม่รวมอยู่ในผลลัพธ์ของมูลค่าธุรกิจใหม่ของเรา แต่ China Post Life ได้รายงานการเติบโตถึงร้อยละ 17 เมื่อเทียบแบบปีต่อปีของมูลค่าธุรกิจใหม่(6) ในปี 2566

“เอไอเอ ฮ่องกง ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 82 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวทั้งในประเทศและชาวจีนแผ่นดินใหญ่ (Mainland Chinese Visitor – MCV) รวมถึงช่องทางการขายผ่านตัวแทนและพันธมิตรของเรา มูลค่าธุรกิจของฮ่องกงเป็นส่วนสนับสนุนมูลค่าธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัทมากที่สุดในปี 2566 เนื่องจากเราสามารถตอบสนองความต้องการที่แข็งแกร่งของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่หลังจากกลับมาเดินทางตามปกติอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2566 โดยเรายังคงเพิ่มจำนวนตัวแทนที่ทำผลงานอย่างต่อเนื่องและทำงานอย่างใกล้ชิดกับช่องทางพันธมิตรเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ยั่งยืนและเติบโตจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีส่วนสนับสนุนมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของเอไอเอ ฮ่องกง กว่าครึ่งหนึ่งในปี 2566

“ตลาดใหญ่ที่สุดของการดำเนินธุรกิจในอาเซียนอย่าง เอไอเอ ประเทศไทย ยังคงสร้างสถิติการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องด้วยการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ร้อยละ 21 ผลการดำเนินงานของธุรกิจใหม่ที่ยอดเยี่ยมนั้นได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของตัวแทนซึ่งถือเป็นผู้นำในตลาด และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับธนาคารกรุงเทพ นอกจากนี้ การดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์พรีเมียร์ เอเจนซี่ของเรา ยังได้ช่วยผลักดันให้จำนวนตัวแทนใหม่มีการเติบโตอย่างดีเยี่ยมในอัตราเลขสองหลักทั้งใน่จำนวนตัวแทนที่สร้างผลงาน รวมถึงผลิตภาพของตัวแทน

“ในสิงคโปร์ เอไอเอ สามารถสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตได้ร้อยละ 10 ในปี 2566 การมุ่งเน้นของเราในการสรรหาตัวแทนและการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานช่วยให้เราสามารถเพิ่มจำนวนการรับสมัครใหม่ได้อย่างแข็งแกร่งและยกระดับผลผลิตของตัวแทนให้สูงขึ้นด้วย เอไอเอ สิงคโปร์ ยังคงมีสถิติการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่ยอดเยี่ยมภายใต้ช่องทางความร่วมมือกับพันธมิตร โดยได้รับการสนับสนุนจากผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมของซิตี้แบงก์ และธุรกิจใหม่จากพันธมิตรอื่น ๆ ซึ่งเรามุ่งเป้าที่ลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและลูกค้าสินทรัพย์สูง

เอไอเอ มาเลเซีย รายงานการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) สูงขึ้นร้อยละ 7 ซึ่งมาจากทั้งช่องทางตัวแทนและช่องทางพันธมิตร การยกระดับข้อเสนอของเราซึ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านความคุ้มครองได้เป็นอย่างดี สนับสนุนให้กิจกรรมของตัวแทนและผลผลิตของพรีเมียร์ เอเจนซี่ เพิ่มสูงขึ้น ในด้านธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ที่ได้รับความร่วมมือกับ Public Bank ส่งผลให้มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตเป็นเลขสองหลักในปี 2566 โดยเราได้ร่วมมือกันเพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าธนาคารที่มีสินทรัพย์สูง รวมทั้งเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันภัย

“มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของกลุ่มตลาดอื่น ๆ ของเรามีเสถียรภาพในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 การเติบโตที่แข็งแกร่งของกลุ่มนี้ถูกชดเชยด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่ลดลงจากเวียดนาม ตามที่ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเชิงลบยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประกันชีวิตในเวียดนามตลอดทั้งปี ทั้งนี้ หากไม่รวมเวียดนาม ตลาดอื่น ๆ ทำให้มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตร้อยละ 15 ในปี 2566 ทาทา เอไอเอ ไลฟ์ มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งปีในทุกช่องทางการขาย และติดอันดับบริษัทประกันชีวิตเอกชนรายใหญ่อันดับสามในอินเดียในปี 2566 อีกด้วย

“เอเชียเป็นภูมิภาคที่น่าดึงดูดใจที่สุดในโลกสำหรับด้านประกันชีวิตและสุขภาพ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั้งในแง่ความต้องการและแนวโน้มด้านประชากรศาสตร์ที่สำคัญซึ่งนับเป็นแรงสนับสนุนอันทรงพลังสำหรับโอกาสระยะยาวของธุรกิจของเราทั่วทั้งภูมิภาค ผมมั่นใจว่าความต้องการในผลิตภัณฑ์ประกันของเอไอเอจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป และข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่ชัดเจนของเรา กลไกการเติบโตที่หลากหลาย และความยืดหยุ่นทางการเงินที่ไม่มีใครเทียบได้ จะช่วยให้เอไอเอสามารถสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของเรา ขณะเดียวกันเรายังคงมุ่งมั่งสนับสนุนผู้คนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives”

เกี่ยวกับกลุ่มบริษัทเอไอเอ

กลุ่มบริษัทเอไอเอ และบริษัทในเครือ (รวมเรียกว่า “เอไอเอ” หรือ “กลุ่มบริษัทเอไอเอ”) เป็นกลุ่มบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีการบริหารจัดการอย่างอิสระ มีบริษัทในเครือและสำนักงานสาขาใน 18 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ทั้งในประเทศจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง(7) ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย กัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมาร์ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา ไต้หวัน (จีน) เวียดนาม บรูไน และเขตปกครองพิเศษมาเก๊า(8)  และเป็นผู้ถือหุ้นร่วมทุนร้อยละ 49 ในประเทศอินเดีย นอกจากนี้ เอไอเอ ได้เข้าไปถือหุ้นในบริษัทไชน่า โพสต์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ในอัตราส่วนร้อยละ 24.99 

เอไอเอเริ่มต้นธุรกิจครั้งแรกในเมืองเซี่ยงไฮ้เมื่อศตวรรษที่ผ่านมา ในปี 2462 โดยเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) ในด้านเบี้ยประกันภัยรับจากธุรกิจประกันชีวิต และเป็นผู้นำตลาดโดยส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 286 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566

กลุ่มบริษัทเอไอเอนำเสนอแบบประกันสะสมทรัพย์ระยะยาวและความคุ้มครองชีวิตแก่ลูกค้าบุคคลผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ทั้งการประกันชีวิต การประกันอุบัติเหตุและสุขภาพ และการวางแผนการออมเงิน นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเอไอเอยังให้บริการลูกค้าองค์กรผ่านผลิตภัณฑ์สวัสดิการพนักงาน ประกันสินเชื่อ และให้บริการเป็นผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพผ่านเครือข่ายตัวแทน พันธมิตรและพนักงานทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเอไอเอมีลูกค้าที่ถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตรายบุคคลที่มีผลบังคับมากกว่า 42 ล้านกรมธรรม์ และเป็นสมาชิกกรมธรรม์ประกันกลุ่มมากกว่า 18 ล้านคน

กลุ่มบริษัทเอไอเอจดทะเบียนในกระดานหุ้นหลักของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ “1299” สำหรับ American Depositary Receipts (ระดับ 1) มีการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Over-the-Counter) ภายใต้สัญลักษณ์ AAGIY

หมายเหตุ:

  • ผลประกอบการของกลุ่มบริษัท ปี 2566 ได้ถูกคำนวณและรายงานหลังจากการปรับปรุงมาตรฐานสากลเกี่ยวกับรายงานทางการเงิน IFRS 9 และ IFRS 17 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566
  • อาเซียน คือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations หรือ ASEAN) หมายรวมถึง ประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
  • ไม่รวมผลกระทบค่าสินไหมของประกันสุขภาพที่สูงขึ้นในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 และผลกระทบจากการปรับการคำนวณตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS)
  • กลุ่มทรัพยากรทุนของเอไอเอตามเกณฑ์ และข้อกำหนดด้านทุนที่กำหนดโดยกลุ่ม (GPCR) ถูกคำนวณตามวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศ (LCSM) อัตราส่วนวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศของกลุ่มบริษัท (Group LCSM)  อัตราส่วนของวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศของกลุ่มบริษัท (Group LCSM) ตามเกณฑ์ GWS หมายถึง “อัตราส่วนทรัพยากรทุนของกลุ่มตามเกณฑ์” ในกรอบงานการกำกับดูแลทั่วทั้งกลุ่ม (GWS) และคำนวณเป็นอัตราส่วนของทรัพยากรทุนของกลุ่มตามเกณฑ์ GPCR ตามข้อกำหนดด้านเงินทุนที่กำหนด (PCR) อัตราส่วนของวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศของกลุ่มบริษัท (Group LCSM) ตามเกณฑ์ผู้ถือหุ้นถูกกำหนดให้เป็น อัตราส่วนของวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศของกลุ่มบริษัท (Group LCSM) ซึ่งไม่รวมเงินสมทบจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันแบบมีส่วนร่วมในเงินปันผลและแบบที่สามารถแยกพอร์ตโฟลิโอการลงทุนออกมาได้อย่างชัดเจน ตามเกณฑ์ PCR ยกเว้นบรูไนและเขตบริหารพิเศษมาเก๊า ซึ่งไม่ถือเป็นเงินทุนที่เข้า เกณฑ์รายงานวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศ ภายใต้ระบบการกำกับดูแลของแต่ละประเทศ
  • การดำเนินงานที่จัดตั้งขึ้นของเราในจีนแผ่นดินใหญ่ หมายถึงการดำเนินธุรกิจในปักกิ่ง เซียงไฮ้ เซินเจิ้น กวางตุ้ง และเจียงซู และตลาดใหม่ของเราในจีนแผ่นดินใหญ่ หมายถึงการดำเนินงานในเทียนจิน ฉือเจียจวง มณฑลเสฉวน มณฑลหูเป่ย และมณฑลเหอหนาน
  • มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) คำนวณจากบริษัทไชน่า โพสต์ ไลฟ์ ตามหลักการและวิธีการในแนวทางการประเมินมูลค่าฝังตัวของสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศจีน (พื้นฐาน CAA) ซึ่งสอดคล้องกับหลักปฏิบัติทางอุตสาหกรรมในจีนแผ่นดินใหญ่ มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของไชน่า โพสต์ ไลฟ์ สำหรับงวด 12 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 สะท้อนถึงสมมติฐานทางเศรษฐกิจล่าสุดที่ใช้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566
  • เขตปกครองพิเศษฮ่องกง (Hong Kong SAR)
  • เขตปกครองพิเศษมาเก๊า (Macau SAR)