SCGD เผยไตรมาส 3 และ 9 เดือน ปี 2568 กำไรเพิ่ม 37% ท่ามกลางความท้าทายเศรษฐกิจ เร่งผลิต-ส่งออกเวียดนามเด่น เตรียมรับดีมานด์ตลาดอาเซียนโต ดันสินค้า HVA เข้าถึงผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์ หนุนศักยภาพแข่งขัน

0
25

SCGD เผยผลประกอบการไตรมาส 3 กำไร 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% โตเทียบไตรมาสก่อน และดีที่สุดตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมี PRIME ประเทศเวียดนามเป็นฐานการผลิตส่งออกทั่วอาเซียน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต-บริหารต้นทุน อีกทั้งพัฒนาสินค้า HVA และกลุ่มสินค้าใหม่ในประเทศไทยเข้าถึงผู้บริโภคครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ผู้นำในธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 EBITDA อยู่ที่ 902 ล้านบาท ดีขึ้นร้อยละ 12 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 18 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรอยู่ที่ 305 ล้านบาท ดีขึ้นร้อยละ 37 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 61 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA on sales และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 16 และร้อยละ 5.3 ตามลำดับ ทั้งนี้ หากพิจารณาผลประกอบการที่ไม่รวมผลกระทบของ Non-Recurring บริษัทยังคงมีอัตราความสามารถในการทำกำไรดีที่สุด จากการเดินหน้าตามกลยุทธ์ที่เข้มข้นรวมถึงการเร่งปรับตัวเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2568 บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 2,513 ล้านบาทและกำไรอยู่ที่ 744 ล้านบาท

แม้ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันรุนแรง แต่ SCGD ยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่ง จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งพัฒนาสินค้า HVA และกลุ่มสินค้าใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าขยายศักยภาพการผลิตในต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตและส่งออกหลักของภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับความต้องการวัสดุก่อสร้างที่ฟื้นตัวขึ้นในประเทศรวมถึงการขยายสู่ตลาดโลกในอนาคต มั่นใจเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวด้วยกลยุทธ์ 4×4 ดังนี้
1.) ยกระดับ PRIME ประเทศเวียดนามเป็นฐานผลิต-ส่งออกหลักของภูมิภาค เน้นบริหารและควบคุมต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้สามารถแข่งกับผู้ผลิตระดับโลกได้ และใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ขยายตลาดส่งออก ในไตรมาส 3 ส่งออกกระเบื้องทั้งสิ้น 2.2 ล้านตารางเมตร เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
2.) เพิ่มกำลังการผลิตและดันยอดขายกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น โดยเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน ที่ PRIME เพื่อรองรับความต้องการวัสดุตกแต่งพื้นผิวคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นทั้งในเวียดนามและตลาดส่งออก ในไตรมาส 3 มียอดขายกระเบื้องเกรซ
พอร์ซเลนจาก PRIME กว่า 3.6 ล้านตารางเมตร จากกระแสของผู้บริโภคที่นิยมวัสดุสวย ทน และดูแลรักษาง่าย พร้อมชูจุดแข็งด้านต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ในระดับโลก
3.) เร่งขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าใหม่ในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตยอดขายในกลุ่มสินค้าเกี่ยวเนื่องต่อจากธุรกิจหลัก และสินค้าใหม่ โดยอาศัยศักยภาพในการจัดหาที่แข็งแกร่ง ซึ่งในไตรมาส 3 เติบโตร้อยละ 50 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
4.) เจาะตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายทุกเซกเมนต์ ผ่านสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) โดยมีสัดส่วนการขายสินค้ากว่า 41% ต่อรายได้จากการขาย เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ รักสุขภาพ-ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่คุณภาพดี ดีไซน์สวย และฟังก์ชันที่คุ้มค่า เช่น วัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องสุขอนามัย ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส ผนังดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ และผลิตภัณฑ์ “ผนังที่หายใจได้” วัสดุปิดผิวผนังนวัตกรรมจากญี่ปุ่น (Flowel Pure TECH by COTTO) ดูดซับสารระเหยอันตราย และปรับสมดุลความชื้นในอากาศ สินค้ากลุ่มสุขภัณฑ์ สุขภัณฑ์อัตโนมัติ DUACT – TAP & GO ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว ประหยัดน้ำเพียง 4.5 ลิตร ใช้แบตเตอรี่แทนการเสียบปลั๊ก และก๊อกน้ำรุ่น Xquisia จาก COTTO ดีไซน์หรูฟังก์ชันทันสมัย ซึ่งทั้ง 2 สินค้าคว้ารางวัลออกแบบผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมระดับสากล รวมถึง สุขภัณฑ์รักษ์โลก
ใช้สารเคลือบวัสดุธรรมชาติจากเปลือกไข่และเปลือกหอย ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกระเบื้องที่ลดการปล่อย CO2 ตลอดกระบวนการผลิต
นอกจากนี้ บริษัทยังนำเสนอสินค้าสำหรับกลุ่มตลาดกลางถึงตลาดมวลชนด้วยสินค้าคุณภาพดี และราคาเหมาะสมอีกด้วย

สำหรับ กลยุทธ์เพิ่มความสามารถในการทำกำไร 4 กลยุทธ์ในไตรมาส 3 ปี 2568 ได้แก่ การลดต้นทุนด้านพลังงานผ่านการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ 13.6% เพิ่มขึ้น 5.5 เมกะวัตต์จากไตรมาสก่อน ช่วยลดต้นทุนได้ 22 ล้านบาทต่อปี ขณะที่การใช้เชื้อเพลิงชีวมวล 23.5% เพิ่มขึ้น 1.5% จากไตรมาสก่อน ลดต้นทุนเพิ่มอีก 15 ล้านบาทต่อปี เจรจาการลดต้นทุนวัตถุดิบได้กว่า 21 ล้านบาท รวมถึงการบริหารจัดการฐานผลิตของ SCGD ในองค์รวมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้ PRIME เป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่เหมาะสม เช่นการส่งออกกระเบื้องจาก PRIMEไปยังตลาดประเทศฟิลิปปินส์ สามารถประหยัดต้นทุนได้ร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับต้นทุนกระเบื้องที่ผลิตในประเทศฟิลิปปินส์อีกทั้ง การลดต้นทุนการบริหารจัดการด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบคุมสินค้าคงคลัง และบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้า ช่วยลดต้นทุนได้ 29 ล้านบาทต่อปี และการลดต้นทุนทางการเงินได้ปีละ 33 ล้านบาทต่อปีจากการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่เพื่อชำระหนี้เงินกู้เดิม รวมถึงการชำระหนี้บางส่วน”

นายสิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) กล่าวว่า “สำหรับใน 9 เดือนแรกของปี 2568 สามารถขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ และเพิ่มผู้แทนจำหน่ายเป็น 181 ราย และมียอดขายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ อยู่ที่ 372 ล้านบาท รวมทั้งหลังจากเริ่มจำหน่ายวัสดุตกแต่งพื้นผิว SPC (Stone Plastic Composite) จากโรงงานในประเทศแทนการนำเข้า ทำให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนรวมค่าจัดส่ง ส่งผลให้ปริมาณการขายในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 876,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับการขยายธุรกิจสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่อง เพื่อต่อยอดไปสู่อาเซียนในอนาคต ใน 9 เดือนแรกของปี 2568 มียอดขายกว่า 312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 37,064 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงินด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ที่ 1.3 เท่า ลดลงจากไตรมาสก่อน และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.2 เท่า พร้อมเติบโตในระยะยาว รวมทั้งยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับแผนการเติบโตในอนาคต”