บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ” หรือ “กลุ่มบริษัทไทยเบฟ”) รายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่แข็งแกร่ง อันเป็นผลจากความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตราสินค้าและสถานะในตลาด ประกอบกับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคและการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่า “ท่ามกลางการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ไทยเบฟมุ่งมั่นดำเนินกลยุทธ์ในการเสริมแกร่งให้กับตราสินค้าและสถานะในตลาดสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังที่ได้เห็นจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเรา”
“ในขณะเดียวกัน เรายังดำเนินมาตรการบริหารอัตรากำไรอย่างรอบคอบ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงต้นทุนด้านพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น พร้อมทั้งรักษาผลกำไรสุทธิและส่วนแบ่งตลาดของเรา นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบและความยั่งยืนเป็นสำคัญ โดยยึดมั่นขับเคลื่อนกลยุทธ์ “สรรสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน (Enabling Sustainable Growth)” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์”
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 กลุ่มบริษัทไทยเบฟมีรายได้จากการขาย 215,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากทุกกลุ่มธุรกิจมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) อยู่ที่ 37,765 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลจากปัจจัยโดยรวมทั้งในด้านรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น การลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาด รวมถึงต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
ทั้งนี้ ไทยเบฟยังคงมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดอิสระที่ดี การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการบริโภคในประเทศจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินั้นถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน ไทยเบฟก็ตระหนักดีว่าแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนด้านพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง อาจยังคงส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคต่อไป อย่างไรก็ตาม กลุ่มเชื่อมั่นว่ารากฐานอันมั่นคงจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตที่แข็งแกร่งของไทยเบฟได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ของกลุ่มในการเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน
ประเด็นสำคัญของกลุ่มธุรกิจ ธุรกิจสุรา
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 กลุ่มธุรกิจสุรามีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เป็น 93,673 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ปริมาณขายรวมจะลดลงที่ร้อยละ 3.5 จากปีก่อนก็ตาม ธุรกิจสุรามีผลประกอบการที่แข็งแกร่งโดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) เพิ่มขึ้นเป็น 23,763 ล้านบาท และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชีต่อรายได้ (EBITDA margin) สูงขึ้นจากร้อยละ 24.7 เป็นร้อยละ 25.4 โดยการขยายตัวของอัตรากำไรมาจากการขึ้นราคาสินค้าและการเปลี่ยนแปลงส่วนประสมของผลิตภัณฑ์จากการบริโภคสุราสีที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย สำหรับธุรกิจสุราในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงธุรกิจในเมียนมามีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี
นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา กล่าวว่า “ธุรกิจสุรายังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและผลกำไรที่มั่นคง ในประเทศไทย เราได้วางแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจตั้งแต่ก่อนที่ตลาดจะกลับมาเปิดอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงการเดินหน้าเสริมสร้างตราสินค้าหลักของเราอย่างรวงข้าว หงส์ทอง แสงโสม และเบลนด์ 285 ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยความพยายามดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มสามารถคงตำแหน่งผู้นำในตลาดสุราขาวและสุราสีไว้ได้
ในประเทศเมียนมา แกรนด์ รอยัล วิสกี้ ยังคงรักษาตำแหน่งวิสกี้อันดับหนึ่งไว้ได้แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาด โดยเราคาดว่าอุปสงค์ต่อสินค้าและการเติบโตของธุรกิจจะยังคงดีอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้
สำหรับตลาดต่างประเทศ เราได้เดินหน้าขยายกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียมและเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางการจำหน่ายในต่างประเทศ ผ่านการเข้าซื้อธุรกิจลาร์เซน คอนญัก (Larsen Cognac) และคาร์โดรนา ดิสทิลเลอรี่ (Cardrona Distillery) โดยการเข้าซื้อธุรกิจในครั้งนี้ นับเป็นก้าวแรกของกลุ่มในการเข้าสู่ตลาดคอนญักและตลาดสุราโลกใหม่ (New World Spirits) ซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มกลุ่มตราสินค้าสุราที่เป็นที่ยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างมากของเรา”
ธุรกิจเบียร์
นายไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ กล่าวว่า “ธุรกิจเบียร์ของเราในประเทศไทยมีการฟื้นตัว เนื่องจากการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในขณะที่ธุรกิจในเวียดนามยังคงต้องเผชิญความท้าทายจากปัญหาเศรษฐกิจมหภาคที่ส่งผลให้การบริโภคชะลอตัว โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ธุรกิจเบียร์มีรายได้จากการขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เป็น 93,262 ล้านบาท แม้ว่าปริมาณขายรวมจะลดลงร้อยละ 5.2 ทั้งนี้ การลงทุนในตราสินค้า กิจกรรมทางการตลาด และแรงกดดันด้านการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบหลักและบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น ส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลงร้อยละ 19.8 เป็น 10,783 ล้านบาท”
สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย
นายทรงวิทย์ ศรีธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขยายการเติบโตของธุรกิจเบียร์ประเทศไทยและก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาด เรามุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ Commercial Leadership Winning Brand Portfolio และ Cost Competitiveness
เรามุ่งมั่นเสริมแกร่งทางการค้าให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ช้างผ่านกลยุทธ์ “Commercial Leadership” โดยเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคผ่านแคมเปญต่าง ๆ ที่ต่อยอดมาจากความรักที่ผู้บริโภคมีต่อตราสินค้า การถ่ายทอดเรื่องราวผ่าน “มิตรภาพ ฟุตบอล และดนตรี” ช่วยเสริมสร้างความใกล้ชิดและการมีส่วนร่วมไปจนถึงจุดขาย โดยเรายังได้ทำงานร่วมกับกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในกลุ่มบริษัทไทยเบฟ เพื่อผนึกกำลังในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายการกระจายสินค้าและช่องทางการจำหน่าย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงตราสินค้า
นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าเสริมสร้างตราสินค้าผ่านกลยุทธ์ “Winning Brand Portfolio” และพัฒนาสินค้าที่โดดเด่นภายใต้ตราสินค้าช้าง ซึ่งเป็นตราสินค้าหลักของเรา โดยในปี 2562 กลุ่มได้เปิดตัว “ช้าง โคลด์ บรููว์” ซึ่งในปัจจุบันเป็น 1 ใน 5 ตราสินค้าเบียร์ที่มีปริมาณขายสูงสุดในประเทศไทย และเมื่อปลายปี 2565 ได้เปิดตัว “ช้าง อันพาสเจอไรซ์” เบียร์พรีเมียม ซึ่งได้รับผลลัพธ์เป็นน่าพอใจจนถึงปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน “ช้าง เอสเปรสโซ่ ลาเกอร์” ก็ได้รับรางวัลเหรียญทองด้านคุณภาพต่อเนื่องเป็นปีที่สามติดต่อกัน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เราได้ดำเนินกลยุทธ์ “Cost Competitiveness” ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การลดต้นทุนในการผลิตเบียร์ การจัดสรรทรัพยากรในห่วงโซ่อุปทาน การลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย และการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตซึ่งส่งผลให้มีอัตรายอดขายต่อจำนวนพนักงาน (Net Sales to Headcount ratio) ที่ดีขึ้น”
สายธุรกิจเบียร์ ประเทศเวียดนาม
นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซาเบโก้ กล่าวว่า “เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมการส่งออกและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุ่งมั่นรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม สร้างทีมขายมืออาชีพ และเสริมแกร่งกลุ่มตราสินค้า Winning Brand Portfolio โดยเราได้ดำเนินกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับ Bia Saigon ในฐานะความภาคภูมิใจของเวียดนาม” เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโดยรวม ซาเบโก้มุ่งเน้นการขยายธุรกิจ พัฒนากลุ่มตราสินค้า และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง
โดยในเดือนมกราคม 2566 ซาเบโก้ได้รับรางวัลเหรียญทอง 4 รางวัลและเหรียญเงิน 4 รางวัล จากการประกวดคุณภาพผลิตภัณฑ์เบียร์ระดับนานาชาติของสถาบัน Beverage Testing Institute (BTI) นอกจากนี้ แคมเปญการตลาด “Rise with Vietnam” และ “Bia Saigon Lager Tet 2022” ของซาเบโก้ยังสามารถคว้ารางวัลเหรียญเงินและเหรียญทองตามลำดับ จาก MMA Global Conference and Exposition ในเดือนเมษายน 2566 ซาเบโก้เสริมสร้างความเป็นเลิศด้านการผลิตและใช้มาตรการบริหารต้นทุนที่เข้มงวดเพื่อบริหารค่าใช้จ่ายและรักษาผลกำไรของบริษัท อีกทั้งยังมุ่งมั่นเดินหน้าผนวกเครือข่ายโรงเบียร์ของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและการบริหารต้นทุน ด้วยแผนงาน SABECO 4.0 ซึ่งได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซาเบโก้มั่นใจอย่างยิ่งว่าบริษัทจะสามารถยกระดับความสามารถทางการแข่งขัน เสริมแกร่งความเป็นผู้นำในตลาด และบรรลุเป้าหมายระยะยาวของบริษัทได้ในที่สุด
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 เป็น 14,822 ล้านบาท ซึ่งมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 ตามการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น โดยการดำเนินแผนงานเพื่อบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ช่วยชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นได้บางส่วนจากการลงทุนในตราสินค้า กิจกรรมทางการตลาด และต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 1,773 ล้านบาท
นายโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า “เศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ได้เร่งเดินหน้าขยายการเติบโต ภายใต้ 3 แนวทางสำคัญ คือ การสานพลังของแบรนด์ปั้นพอร์ตสุดแกร่ง (Brand Portfolio Management) การเร่งสปีดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในทุกมิติ (Speed for the Growth) และการเดินหน้าขยายตลาด (Expand to New Market)”
กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มุ่งมั่นที่จะสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ด้วยแนวทาง “การสานพลังของแบรนด์ปั้นพอร์ตสุดแกร่ง (Brand Portfolio Management)” เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกโอกาสและทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงรองรับกลุ่มผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างความผูกพันกับผู้บริโภค ผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าหลักของกลุ่ม
กลุ่มมุ่งสร้างการเติบโตของ “โออิชิ กรีนที” ด้วยการขยายฐานผู้บริโภค และเพิ่มปริมาณการบริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงเดินหน้าตอกย้ำการรับรู้ในเรื่องคุณประโยชน์ของชาเขียวที่มีทาเคชิน สารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพ ผ่านแคมเปญ “OISHI Goodness of Tea” ภายใต้แนวคิด “โออิชิ กรีนที สิ่งดีๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยน” พร้อมเดินหน้าผลักดันการกระจายผลิตภัณฑ์
ThaiBev Group Press Conference 2023
ThaiBev Delivered Resilient 9M23 Performance
Amid Improved Consumption
BANGKOK, Thailand, 3 October 2023 – Thai Beverage Public Company Limited (“ThaiBev” or the “Group”) has delivered a resilient performance for the nine-month period ended 30 June 2023 (“9M23”), as it strengthened its brand and market positions on the back of a general recovery in consumption and tourism post-pandemic.
Mr. Thapana Sirivadhanabhakdi, President and CEO, said: “With the tourism and food and beverage industries enjoying a resurgence, we have been taking active steps to reinforce our brand and market positions across our business segments to enhance our competitiveness, and this is paying off in our favor.”
“At the same time, we diligently managed our margins, against inflationary pressures and higher energy costs and commodity prices, while safeguarding our bottom line and market share. We also remained mindful of operating in a responsible and sustainable manner and are steadfast in executing our Enabling Sustainable Growth strategy to achieve sustainability and net-zero emissions.”
For 9M23, the Group recorded sales revenue of Baht 215,893 million, representing a 3.8% increase year-on-year. The sales revenue was lifted by improved sales revenue contribution from all its business segments, driven by an overall improvement in economic activity and the recovery of Thailand’s tourism industry. Earnings before interest, taxation, depreciation and amortization from business operation (“EBITDA”) amounted to Baht 37,765 million, representing a 3.4% decrease year-on-year, taking into account revenue improvement, increased brand investment and marketing activities, and cost push factors. The Group maintained a healthy financial position with strong free cash flow.
The gradual recovery of domestic consumption by Thai locals and foreign visitors is encouraging. At the same time, the Group is mindful that inflationary pressures, rising energy and commodity costs, along with high household debt levels, could continue to weigh on consumer spending. Nevertheless, the Group is confident that its solid foundation will support the continuous resilient growth to achieve its vision of becoming a stable and sustainable ASEAN Leader in beverage and food business.
Group Highlights
Spirits
The spirits business generated a 3.3% rise in sales revenue to Baht 93,673 million year-on-year, despite the total sales volume decreasing by 3.5% compared to the previous corresponding period (“9M22”). The spirits business has delivered a strong performance in both EBITDA and EBITDA margin. EBITDA margin expanded from 24.7% to 25.4%, with EBITDA reached Baht 23,763 million. The margin expansion was driven by price adjustment and changes in the portfolio mix in Thailand amid higher consumption of brown spirits. The international business, including Myanmar, has also reported a strong performance with increases in both sales revenue and EBITDA.
Mr. Prapakon Thongtheppairot, Executive Vice President, Group CFO and Chief Spirit Product Group, said: “Our spirits business has recorded a resilient performance with a healthy improvement in profitability. In Thailand, we have retained our dominant positions in both the white and brown spirits markets through the extensive preparations that we made ahead of the market reopening and the continuous focus on building up our core brands, Ruang Khao, Hong Thong, SangSom and Blend 285.
In Myanmar, Grand Royal Whisky remains the number one whisky brand despite challenges in the market, and we expect sustained demand and growth for the remainder of the year.
Internationally, we have further broadened our portfolio of premium spirits brands and strengthened international routes to market through the acquisitions of Larsen Cognac and Cardrona Distillery. These acquisitions have allowed us to establish a foothold in the cognac and dynamic New World spirits categories which will complement our established and highly successful spirits brands.”
Beer
Mr. Michael Chye Hin Fah, Chief Beer Product Group, said: “Our beer business in Thailand saw a recovery on the back of the resurgence of economic activity and the return of tourists, while our Vietnam business continued to face challenges from weak consumption amid macroeconomic headwinds. Overall sales revenue increased by 0.7% to Baht 93,262 million in 9M23 even as total sales volume declined 5.2%. An increase in brand investment, marketing activities and competitive pressures, coupled with rising key raw material and packaging costs, contributed to EBITDA declining 19.8% to Baht 10,783 million.”
Beer – Thailand
Mr. Songwit Sritham, Chief Beer Business – Thailand, said: “Our ability to grow the beer business and market position is underpinned by three strategic priorities: Commercial Leadership, Winning Brand Portfolio and Cost Competitiveness.
We reinforced Commercial Leadership for the Chang portfolio through consumer engagement built on solidifying their love for the brand. The focus on “Friendship, Football & Music” has helped to cement the brand’s relationship with drinkers and drive consumer engagement towards points of purchase. To bring the brand closer to customers, we collaborate closely with other product groups across ThaiBev to generate synergies and efficiencies that further enhance the distribution network and route-to-market capabilities.
We have also built a Winning Brand Portfolio and developed a strong consumer offering under our flagship Chang brand. Chang Cold Brew, launched in 2019, is now amongst the top-five brands in Thailand by volume. Chang Unpasteurized was launched at the end of 2022 as a high-premium variant with encouraging results to date. Meanwhile, Chang Espresso Lager has won gold medals in quality awards for three years in a row.
In order to improve our productivity and cost effectiveness, we have set our focus on Cost Competitiveness which centers around four main aspects, namely; beer production cost savings, supply chain reallocation of resources, lower advertising and promotion (A&P) spending, and improvement in productivity as reflected in a better ratio of net sales to headcount.”
Beer – Vietnam
Mr. Lester Tan Teck Chuan, General Director, SABECO, said: “Vietnam’s economy was adversely affected by geopolitical events that constrained its export activities and the growth of its gross domestic product. Nevertheless, we remain committed to focusing on maintaining superior product quality, building a professional sales force and developing our Winning Brand Portfolio. By executing our strategic imperatives, we seek to elevate Bia Saigon as an important symbol of national pride for Vietnam.”
SABECO constantly focuses on growing the business, improving brand portfolio, and increasing market share to support the business’ ambition for overall growth.
SABECO won four Gold and four Silver Medals from the Beverage Testing Institute (BTI) in January 2023, for the exceptional quality of its beers. The company also received recognition for its marketing campaigns, “Rise with Vietnam” and “Bia Saigon Lager Tet 2022”, which won Gold and Silver awards respectively at the MMA Global Conference and Exposition in April 2023.
To maintain profitability, SABECO continues to enhance production excellence and implement stringent cost management measures to manage its expenses. The company is also working towards better integrating its vast network of subsidiary and associate breweries to improve operational and cost synergies.
The SABECO 4.0 digital transformation initiative will help to enhance the company’s competitiveness, consolidate its leading position, and achieve its long-term objectives.
Non-alcoholic Beverages
In 9M23, the Group’s non-alcoholic beverages business recorded a notable 15.6% rise in sales revenue to Baht 14,822 million year-on-year, lifted by an 8.7% increase in sales volume amid higher consumption. Improved production efficiency arising from increased utilization partially offsets higher costs from brand investment, marketing activities, and raw materials. EBITDA rose by 3.3% to Baht 1,773 million, compared to the previous corresponding period.
Mr. Kosit Suksingha, Executive Vice President, Chief of Non-alcoholic Beverages Product Group, and Chief of Digital and Technology, said: “Thailand’s economy is progressively recovering, which leads to improved consumer confidence. Therefore, we have accelerated our efforts to grow the business by taking proactive steps focusing on Brand Portfolio Management, Speed for the Growth, and Expand to New Market.”
With a mission to build a diversified product portfolio, the Group has set its focus on “Brand Portfolio Management” to cater to the needs of every consumer across various groups for all occasions including the growing number of health-conscious consumers, while continuing to enhance its connection with consumers through various strategies to strengthen its core brands.
The Group strives to drive growth for “OISHI Green Tea” by constantly expanding its consumer base and increasing consumption. The Group is also building awareness and communicating the benefits of catechins, which are natural antioxidants found in green tea, through the launch of “OISHI Goodness of Tea” campaign with the concept of “Good Things Never Change”. It has also been working on extending distribution channels and the consumer base for “OISHI Chakulza”, a canned ready-to-drink carbonated tea that has been increasingly popular through the campaign, “OISHI Chakulza Green Tea Zaa Medee.”
Crystal has reaffirmed its position as the number one drinking water brand in Thailand that is certified to meet international quality standards where this year, the brand has implemented a new marketing strategy under the “Think Clear, Drink Crystal” concept. This new concept marks Crystal
