สวัสดีครับ คุณผู้อ่านทุกท่านครับ พบกันอีกครั้งกับ On Leadership ในฉบับเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งถือเป็นยกที่สามของปีแล้ว เวลาผ่านไปรวดเร็วตามภารกิจที่รัดตัวของผู้คนที่กำลังพยายามเร่งเครื่องเพื่อให้ได้ระยะทางมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เราต่างต้องออกอาวุธไป และใช้ความคิดแก้เกมกันไป เพราะที่นอกองค์กรของเรา มีแต่การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว แถมยังจับคู่กับภัยทางเศรษฐกิจและภัยไข้หวัดโควิทอีกต่างหาก ซึ่งอาจส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัท หากเราเป็นผู้นำที่ไม่นิ่ง หลักไม่มั่นคง ก็คงจะเครียดถึงขั้นบั่นทอนร่างกายจนเจ็บป่วยได้ ดังนั้น เพื่อให้คุณผู้อ่าน เป็นผู้นำที่รักษาทรง อีกทั้งยังยิ้มได้อยู่แม้ภัยมา ผมจึงขอแบ่งปันในส่วนของ “5 สิ่งที่ผู้นำต้องทำในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ” ดังนี้ครับ
1.ผู้นำต้องยืดอกเชิดคางเข้าไว้
ยิ่งสถานการณ์ข้างนอกยากลำบาก ผู้นำยิ่งต้องแสดงอาการมั่นใจ ยินดีรับผิดชอบในการนำทาง โดยมีความหวัง มีพลัง และมีความเชื่อว่าตนเองสามารถรวบรวมพลังทีม เพื่อเอาชนะปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ การยืดอกเชิดคางของผู้นำเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นภาษากายที่ส่งเสริมพลังให้แก่ผู้นำ ทำให้ผู้นำมีพลังที่จะตื่นเช้าขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น ลุกขึ้นมาหาแนวทางที่จะไปต่อ มีแรงในการประชุมทีม มีสติในการสรุปประเด็นต่างๆเพื่อหาสิ่งใหม่ๆที่ต้องทำ สิ่งเดิมที่ดีอยู่แล้วที่ต้องทำเพิ่มขึ้น สิ่งเดิมที่ต้องทำน้อยลง และสิ่งที่ต้องเลิกทำ
2.มีการนำที่มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจน
สถานการณ์ที่ผิดปกติอย่างทุกวันนี้ การใช้ทรัพยากรทุกๆประเภทในองค์กรจะต้องใช้อย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน ความรู้ เงิน เวลาหรืออุปกรณ์ต่างๆ หากใช้สะเปะสะปะโดยไม่รู้ว่าให้ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุเป้าหมายหรือไม่ จะเป็นการใช้แล้วสูญเปล่า สิ้นเปลือง และเสียโอกาสในการทำสิ่งที่ใช่ ผู้นำต้องระลึกไว้เสมอว่า ทุกๆทรัพยากรที่เราใช้ไป ย่อมมีต้นทุนเสมอ ทุกสิ่งที่มีต้นทุน เมื่อใช้ไปแล้ว ต้องมีผลกระทบเชิงบวกไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมต่อการสร้างยอดธุรกิจ ถ้าเราใช้อย่างไม่ถูกต้อง ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อให้เกิดยอดขาดทุนเท่ากับจำนวนต้นทุนของทรัพยากรที่เราใช้ไปนั่นเอง
3.บำรุงขวัญผู้คนและสร้างพลังทีมในการทำสิ่งที่สำคัญร่วมกัน
คนในองค์กรส่วนใหญ่ไม่ได้มีแบตเตอรี่คุณภาพดีอยู่กับตัว แม้ช่วงอยู่ในสภาวะปกติ เมื่อเจองานที่ยากปานกลาง ก็ยังออกอาการเหนื่อยหน่าย หมดเรี่ยวหมดแรง ดังนั้น ในสภาวะยากลำบากอย่างในปัจจุบัน พวกเขายิ่งเครียด ยิ่งกลัวและเหนื่อยกว่าเก่า ผู้นำจึงต้องไม่ยอมให้ผู้คนอยู่ในเงื่อนไขที่เราจ่ายค่าจ้างเต็มร้อยแต่ได้สภาพคนทำงานแบบห้าสิบมาเด็ดขาด ซึ่งมีวิธีเดียวที่จะได้คนเต็มคนนั่นก็คือ การบำรุงขวัญและกำลังใจ โดยเป็นผู้นำที่นำด้วยหัวใจ ด้วยการเป็นโค้ช เป็นที่ปรึกษา รับฟัง เข้าใจ ชื่นชม ให้เกียรติ และสร้างวัฒนธรรมของการร่วมแรงร่วมใจ หล่อหลอมเป็นพลังทีมที่ทำสิ่งสำคัญเดียวกัน เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายได้
4.พัฒนาตนเองและพัฒนาตัวผู้เล่นในทีมอย่างต่อเนื่อง
ความสามารถของผู้นำและของตัวผู้เล่นในแต่ละตำแหน่ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งยวดที่มีผลต่อการเอาชนะความยากของปัญหา ถ้าในทีมมีแต่ตัวผู้เล่นที่มีความสามารถต่ำกว่ามาตรฐานของตลาดที่เราอยู่ ต่อให้มีใจใฝ่ชนะขนาดไหน เราก็ชนะยาก ดังนั้น ผู้นำจึงจำเป็นต้องเป็นแบบอย่างของการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงตนเอง และมีแผนในการพัฒนาคนในทีมให้มีความสามารถในการทำงานที่อยู่ในมาตรฐานให้ได้ และที่สำคัญ ต้องไม่ยอมปล่อยให้มีตัวผู้เล่นที่เล่นต่ำกว่ามาตรฐานอยู่ในทีมนานเกินไป โดยมีแค่สองทางเลือกคือยกระดับความสามารถของเขาหรือไม่ก็ปล่อยเขาออกจากทีม
5.ผลักดันการสร้างผลลัพธ์ให้ได้
ผู้นำยุคนี้ต้องออกไปอยู่ข้างหน้าด้วย เราจะไม่นั่งอยู่แต่ในห้องบัญชาการ โดยจำเป็นต้องออกมารับรู้ความคิดเห็นของลูกค้า อย่านั่งฟังแต่รายงานเท่านั้น และที่สำคัญคือ การทำให้ตัวเองรู้จริง เพื่อที่จะผลักดันให้ทีมงานยังคงยืนหยัดสร้างผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง เพราะการยืนหยัดเพื่อทำให้ได้ผลลัพธ์นั้นจะให้สองเรื่องที่สำคัญแก่คุณและองค์กร นั่นก็คือ มาตรฐานระดับใหม่และความเชื่อมั่นจากการมีผลลัพธ์ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ของทุกองค์กร
ทั้งหมดนี้คือ “5 สิ่งที่ผู้นำต้องทำในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ” หากคุณผู้อ่านท่านใดรู้สึกสบายใจที่จะลองนำไปใช้ดู ผมมั่นใจว่า ท่านจะสามารถนำพาทีมหรือองค์กรไปสู่จุดหมายที่ตั้งใจไว้อย่างแน่นอนครับ