Daily Markets Update with Krungthai Global Markets วันที่ 2 กรกฎาคม 2568

0
24

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.41 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.38-32.49 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินบาทจะได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันก่อนหน้า ตามการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (กดดันให้ราคาทองคำพลิกกลับมาย่อตัวลง) ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม เดือนมิถุนายน ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49 จุด และยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 7.769 ล้านตำแหน่ง อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell และคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 โดย Atlanta Fed (GDPNow) ที่ออกมาแย่กว่าคาด ก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดมีโอกาสราว 57% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ชะลอการเพิ่มสถานะถือครองสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังถูกกดดันจากแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Tesla -5.3% และ Nvidia -3.0% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ลดลง -0.82% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.11%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.21% ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นอย่าง กลุ่มอุตสาหกรรมทหาร อย่าง Rheinmetall -5.3% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ LVMH +5.5% ที่พอได้อานิสงส์จากความหวังว่า สหรัฐฯ อาจไม่ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้ายุโรปในอัตราที่สูง อีกทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนล่าสุดก็ออกมาดีกว่าคาด และยังมีความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ที่ออกมาดีกว่าคาด ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 4.30% ทว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ถูกชะลอลงบ้าง จากมุมมองของของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังว่า เฟดมีโอกาสเกือบ 60% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ล่าสุด ไม่ได้ปิดโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดที่อาจมากกว่า Dot Plot ล่าสุด ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.25% ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ (อาจเริ่มน่าสนใจในการทยอยขายทำกำไรบ้าง หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อ สำหรับผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตั้งแต่ในช่วง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงกว่าระดับ 4.50%) ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า (โซน 4.50% หรือสูงกว่านั้น อาจไม่ได้เห็นได้ง่ายนัก หากไม่มีความเสี่ยงเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ เข้ามากดดันตลาดบอนด์ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องออกมาดีกว่าคาดชัดเจน)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกจำกัดโดยถ้อยแถลงของประธานเฟด ที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยราว 2-3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ และคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 (GDPNow) ของ Atlanta Fed ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 96.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 96.4-97.0 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ทว่า การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ย่อตัวลงสู่โซน 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน (ADP Employment) ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน ที่อาจช่วยสะท้อนถึงรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ซึ่งจะรายงานในวันพฤหัสฯ นี้

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ECB ยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ส่วนในฝั่งไทย เรามองว่า ในระยะสั้น ควรติดตามสถานการณ์การเมืองของไทย ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท การเคลื่อนไหวของเงินบาทตั้งแต่ช่วงรับรู้ผลการพิจารณาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้อง “ถอดถอนนายกฯ” และมีคำสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ สะท้อนให้เห็นว่า แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย ทว่า ปัจจัยภายนอก หรือ Global Factors ก็ยังมีผลต่อเงินบาทมากกว่าปัจจัยในประเทศ ดังจะเห็นได้จากการที่เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามการปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านของราคาทองคำ และจังหวะอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์

โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ทิศทางเงินดอลลาร์และราคาทองคำ ยังมีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาท พอสมควร ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศไทยนั้น อาจสร้างความผันผวนให้กับเงินบาท (ผันผวนอ่อนค่า หากตลาดกังวลสถานการณ์การเมือง และผันผวนในด้านแข็งค่า หากตลาดทยอยคลายกังวล) แต่ไม่ได้มีผลกับเงินบาทในเชิงทิศทางการเคลื่อนไหวมากนัก ซึ่งเรามองว่า ในระยะสั้น เงินดอลลาร์มีโอกาสทยอยรีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลาง ธีม Sell US Assets ที่ยังอยู่ หลังสภาคองเกรสสหรัฐฯ มีแนวโน้มผ่านร่างกฎหมาย One Big Beautiful Bill Act ที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจยังคงกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ โดยภาพดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการเปิดสถานะ Short USD เมื่อเงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้น หรือ เพิ่มสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (เพิ่ม Hedging Ratio)

นอกจากนี้ เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมบ้าง หากราคาทองคำพลิกกลับมาย่อตัวลง หลังไม่ผ่านโซนแนวต้านระยะสั้น และหากเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นจริง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงตลาดทยอยเปิดรับความเสี่ยง

โดยรวมเรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีโซนแนวรับแถว 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้าน อาจยังอยู่ในช่วง 32.60-32.70 บาทต่อดอลลาร์ และเราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลง หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend Following

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์หน้าที่ ตลาดการเงินไทยอาจเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์