กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ร่วมกับ SCG จัด ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 แข่งขันออกแบบฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ด้วยเทคโนโลยี 3D Printing เฟ้นหาไอเดียจากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล สู่ชิ้นงานต้นแบบเพื่ออนุรักษ์ทะเลไทย

0
41

วิกฤติปะการังไทย ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข

แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความสำคัญอย่างมากในท้องทะเล แม้ว่าจะครอบคลุมพื้นที่ใต้ทะเล ราว 1% ของทั้งหมด แต่สิ่งมีชีวิตในทะเลประมาณ 25% ใช้ประโยชน์จากปะการัง ทั้งเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร อนุบาล และที่หลบภัย สถานการณ์ปะการังทั่วโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญภัยคุกคามหลากหลาย ตั้งแต่ภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการังครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2567 ไปจนถึงการท่องเที่ยวและมลพิษทางทะเล ดังนั้นการฟื้นฟูตามธรรมชาติจะยังไม่สามารถทันต่อการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพใต้ท้องทะเล การอนุรักษ์และการฟื้นฟูแนวปะการังนับเป็นมาตรการสำคัญที่จะทำให้ทรัพยากรแนวปะการังสามารถดำรงสภาพความสมบูรณ์ได้

ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวถึงความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับปัญหาที่ท้าทายนี้ว่า “พื้นที่แนวปะการังในประเทศไทยทั้งหมด 149,182 ไร่ ได้เผชิญวิกฤติมาโดยตลอด ล่าสุดในปี 2567 ที่ผ่านมา มีอัตราการเกิดปะการังฟอกขาวประมาณ 60–80% ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานฟื้นฟูปะการังในปี 2568 โดยเพิ่มพื้นที่ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง กว่า 12 ไร่ ใน 7 จังหวัด และปลูกฟื้นฟูปะการังในพื้นที่กว่า 24 ไร่ 7 จังหวัด เราบูรณาการทรัพยากร ทั้งด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และงบประมาณ จากความร่วมมือจากหลายภาคส่วน แม้การดำเนินการดังกล่าวฯ จะส่งผลให้แนวปะการังไทยกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นแล้วประมาณ 60% อย่างไรก็ตาม ทช. ในฐานะหน่วยงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้มีความอุดมสมบูรณ์และยั่งยืน”

นวัตกรรม SCG 3D Printing หนทางใหม่สู่การอนุรักษ์

เทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG กับบทบาทในการฟื้นฟูปะการัง กำลังได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ด้วยโครงสร้างที่เป็นฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ข้อได้เปรียบของเทคโนโลยี 3D Printing คือกระบวนการผลิตขึ้นรูป ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ และนำรายละเอียดสำคัญของแนวปะการังธรรมชาติ เช่น ความขรุขระของพื้นผิวและความซับซ้อนของโครงสร้าง รวมเข้าไปในกระบวนการผลิต เทคโนโลยีดังกล่าว จึงเปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังในการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูแนวปะการังของไทย

นายเฉลิมวุฒิ สงวนญาติ Concrete and Construction Technology Director หน่วยงาน Innovation and Technology ธุรกิจ SCG Cement and Green Solutions เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมา SCG ได้นำเทคโนโลยี 3D Printing และคิดค้นวัสดุปูนมอร์ตาร์สูตรพิเศษที่ผลิตขึ้นอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีค่า pH ใกล้เคียงกับน้ำทะเล มาผลิตเป็นวัสดุฐานลงเกาะสำหรับให้ตัวอ่อนปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลอิงอาศัยและเจริญเติบโต ซึ่งเราดำเนินการร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) มาตลอดระยะเวลาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเกาะไม้ท่อน เกาะราชาใหญ่ เกาะสาก เกาะแสมสาร เป็นต้น แสดงถึงความมุ่งมั่นการพัฒนานวัตกรรม ของ SCG คือ ‘มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ’ ได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมที่จะพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลไทยให้สมบูรณ์ยั่งยืนต่อไป”

การบูรณาการความร่วมมือ รัฐ-เอกชน-สถาบันการศึกษา

โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 ที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ร่วมมือกับ SCG จัดขึ้นในปีนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มีการเชิญสถาบันการศึกษาด้านวิทยาสตร์ทางทะเล ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ Thai Ocean Academy เข้ามามีส่วนร่วม โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ชีววิทยา และสิ่งแวดล้อม ผสานกับเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในฐานะหน่วยงานที่ริเริ่มและขับเคลื่อนการจัดโครงการ ได้นำองค์ความรู้และประสบการณ์ในการฟื้นฟูแนวปะการังจากหลายพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงวิสัยทัศน์ในการประยุกต์และต่อยอดแนวทางการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และ SCG ในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยี ที่มีเทคโนโลยีหลักคือ 3D Printing และปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อระดมไอเดียออกแบบผลงานต้นแบบของ “วัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง” ที่มีคุณสมบัติเพิ่มประสิทธิภาพการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง มีความทนทานต่อสภาพใต้ท้องทะเล

เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ จากต้นแบบสู่การใช้งานจริง

สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้โครงการในปีนี้ คือการมุ่งเน้นไปที่ “การนำไปใช้จริง” มากกว่าเป็นเพียงแค่แนวคิดตามกรอบทฤษฎี โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG ในการออกแบบวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ที่จะช่วยเร่งอัตราการเจริญเติบโตของปะการังที่มีชีวิต และเพิ่มความเร็วในกระบวนการฟื้นฟูแนวปะการัง จากความร่วมมือแบบบูรณาการที่แต่ละฝ่ายมีบทบาทเสริมกันอย่างลงตัว เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบเข้มข้นได้ถูกจัดขึ้น เพื่อทำความเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของการอนุรักษ์ปะการัง เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการอนุรักษ์ทะเลและเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG การระดมสมองและร่างไอเดียเบื้องต้น พัฒนาแนวคิด นำเสนอไอเดีย พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันครั้งนี้ ได้แก่ “Whirling Wave Pagoda หรือเจดีย์เกลียวคลื่น” จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดดเด่นด้วยการออกแบบให้แต่ละยูนิตมีรูปทรงเจดีย์เกลียวเจาะรู เพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัส เพื่อให้ตัวอ่อนปะการังที่ลงเกาะมีอัตราการรอดสูง มีการไหลเวียน ของกระแสน้ำ และไม่สร้างตะกอนสะสม นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาองค์ประกอบของปูน เพิ่มสารเหนี่ยวนำการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง โดยใช้เปลือกหอยที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการประมงมาบดให้ละเอียดเป็นส่วนผสม พร้อมทั้งออกแบบการจัดวาง ให้คล้ายกับโครงสร้างพุ่มปะการังเขากวาง ซึ่งสามารถขยายเป็นแนวประการังรูปทรง ปลากระเบนแมนตา (Manta Ray) เมื่อมองจากมุมสูง หรือรูปทรงอื่นๆ เพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวได้อีกด้วย ทั้งนี้ ผลงานการออกแบบของมหาวิทยาลัยรามคำแหงจะถูกต่อยอด พัฒนา ปรับปรุง และผลิตเป็นต้นแบบด้วยเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG เพื่อนำไปติดตั้งใต้ท้องทะเลจริงตามแผนงานฯของ ทช. ในปี 2569

ยกระดับมาตรฐานการอนุรักษ์ ก้าวสำคัญสู่ทะเลไทยที่ยั่งยืน

โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025  มีศักยภาพที่จะเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ในการอนุรักษ์ทะเลไทย โดยจะขับเคลื่อนและยกระดับมาตรฐานการอนุรักษ์ ยิ่งไปกว่านั้น โครงการฯ ยังสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ในการดูแลทรัพยากรของชาติ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้สถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ได้แสดงศักยภาพและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูแนวปะการังของไทย ดังนั้น จึงไม่ใช่เพียงการแข่งขันหรือกิจกรรมทางวิชาการ แต่เป็น “การลงทุนในอนาคต” เพื่อก่อให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ซึ่งหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จตามคาดหวัง อาจเป็นการวางรากฐานสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์ทางทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นต้นแบบที่ดีสำหรับประเทศอื่นๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาเดียวกันทั่วโลก