สสส. สานพลัง ภาคีเครือข่าย พัฒนาหลักสูตรอาสาสมัครปฐมพยาบาลทางใจ เดินหน้าเพิ่มทักษะคนพิการ สู่นักปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้น ช่วยลดเครียด ลดปัญหาสุขภาพจิต ต่อยอดเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้ให้คนพิการ ตั้งเป้าภายในปี 2570 คนพิการมีอาชีพเพิ่ม 500 คน

0
19

วันที่ 25 ส.ค. 2568 ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนานักปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้นโดยคนพิการว่า สถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตในปัจจุบัน ทั้งในระดับโลกและประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ด้วยภาวะเศรษฐกิจ สถานการณ์โรคระบาด การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และสภาพสังคม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย เห็นได้จากผลสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิต ปี 2566 พบคนไทย 13.4 ล้านคน เคยมีโรคจิตเวชและปัญหาสุขภาพจิต สสส. ให้ความสำคัญการเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตของคนไทย โดยมุ่งส่งเสริมป้องกันตามแนวคิดการดูแลสุขภาพจิตขั้นต้น ซึ่งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำ โดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความรู้และสร้างความรอบรู้ให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพจิตได้ด้วยตนเอง และส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดูแลสุขภาพจิตขั้นต้นได้

ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า สสส. จึงร่วมกับ สถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต (TIMS) คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริษัท ยัง กู๊ด กัฟเวอร์แนนซ์ สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ Sati App ริเริ่มโครงการพัฒนานักปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้นโดยคนพิการ เพื่อผลิตอาสาสมัครนักปฐมพยาบาลทางใจเบื้องต้น และพัฒนาหลักสูตร Mind First Aid ที่ออกแบบให้ทุกคนสามารถปฐมพยาบาลทางจิตใจเบื้องต้น ตามโมเดล 4S คือ 1.Support การเข้าใจระบบนิเวศของการสนับสนุนเรื่องสุขภาพจิต 2.Sense การรับรู้และการเข้าใจผู้อื่น 3.Summarize การสิ้นสุดการช่วยเหลือและส่งต่อตามแนวทางที่เหมาะสม 4.Self-care การดูแลใจตนเองและทัศนคติที่เหมาะสมในการรับฟัง หลักสูตรนี้ ถือเป็นกลไกทางสังคมหนึ่งในการช่วยลดความเครียด ลดปัญหาสุขภาพจิตเบื้องต้น และลดความเสี่ยงมีปัญหาสุขภาพจิตรุนแรง

“สสส. และภาคีเครือข่ายได้นำมาพัฒนาต่อยอดหลักสูตรเอื้อให้คนพิการทางการมองเห็นและคนพิการทางการเคลื่อนไหวสามารถเข้าอบรมเพื่อทำหน้าที่เป็นนักปฐมพยาบาลทางใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างทางเลือกอาชีพใหม่ให้กับคนพิการผ่านกลไกกฎหมายส่งเสริมการจ้างงาน ตั้งเป้าภายในปี พ.ศ. 2570 สามารถพัฒนาคนพิการเป็นอาสาสมัครปฐมพยาบาลทางใจได้ 500 คน ถือเป็นการลงทุนต่ำ แต่สร้างผลกระทบทางสังคมสูง ทั้งในแง่การเพิ่มจำนวนบุคลากรดูแลสุขภาพจิต และการสร้างอาชีพที่มีคุณค่าแก่คนพิการเอง” รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

น.ส.เมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ บริษัท ยัง กู๊ด กัฟเวอร์แนนซ์ จำกัด หัวหน้าโครงการพัฒนานักปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้นโดยคนพิการ กล่าวว่า หลักสูตร Mind First Aid พัฒนามาจากหลักสูตร Psychological First Aid ของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปคินส์ และองค์การอนามัยโลก และประสบการณ์ของการอบรมนักรับฟังของ Sati App และภาคีเครือข่ายภายในประเทศ ซึ่งหลักสูตรที่ผ่านมายังไม่ครอบคลุมถึงความหลากหลายของผู้เรียน โดยเฉพาะในเนื้อหาที่ต้องพึ่งพาประสาทสัมผัสในการมองเห็น จึงได้ออกแบบหลักสูตร Mind First Aid ในรูปแบบ Universal Design ที่ทุกคน รวมถึงคนพิการสามารถเรียนรู้พัฒนาทักษะการรับฟังและการเข้าใจผู้อื่นแบบไม่ตัดสินได้

“หลักสูตรมีเนื้อหา 14 บทเรียน อาทิ 1.เข้าใจสุขภาพใจแบบองค์รวม 2.ทำความรู้จักกับความเครียด 3.การสร้างสัมพันธภาพ 4.ทักษะการใช้คำถาม 5.ทักษะการสะท้อนความรู้สึก 6.ทักษะการทวนความและสรุปความ 7.ขั้นตอนการยุติบทสนทนา 8.การส่งต่อข้อมูลเพื่อให้การช่วยเหลือ 9.การดูแลตนเองในการรับฟัง 10.การประยุกต์ใช้การรับฟัง ทั้งนี้ ผู้สนใจ ร่วมถึงคนพิการทางการมองเห็นสามารถเรียนรู้ในรูปแบบ E-learning ได้ที่ https://elearning.satiapp.co โดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมรับประกาศนียบัตรออนไลน์หลังจากสิ้นสุดบทเรียน ทั้งนี้ ในระยะแรก ตั้งเป้าอบรมพัฒนาศักยภาพคนพิการมากกว่า 100 คน” น.ส.เมธาวี กล่าว

ผศ.ดร.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต (TIMS) ในฐานะที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า ขณะนี้มีการนำร่องจ้างงานคนพิการที่ได้รับการฝึกฝนและพัฒนาศักยภาพเป็นนักปฐมพยาบาลทางใจแล้ว 10 คน ปฏิบัติงานในองค์กรต่างๆ จากการติดตามผลการทำงาน พบว่าคนพิการที่ผ่านกระบวนการพัฒนาแล้วสามารถรับฟังอย่างไม่ตัดสินและให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิตในเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ โมเดลการพัฒนาศักยภาพนักปฐมพยาบาลทางใจให้กับคนพิการ นอกจากจะเพิ่มคนทำงานด้านสุขภาพจิต เป็นกลไกสำคัญเพื่อส่งเสริมระบบการดูแลสุขภาพจิตของประเทศแล้ว ยังเสริมสร้างทักษะและคุณภาพชีวิตให้กับคนพิการ ถือเป็นการสร้างทางเลือกอาชีพใหม่ให้กับคนพิการผ่านการจับคู่กับบริษัทผู้ว่าจ้างตามมาตรา 35 ของกลไกกฎหมายส่งเสริมการจ้างงานด้วย