ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประกาศเดินหน้าแผนระยะยาวครั้งสำคัญ ชูกลยุทธ์ “AI-native” ขับเคลื่อนความยั่งยืนและบริหารจัดการพลังงาน

0
35


• แผนระยะยาวครั้งนี้จะสร้างหมวดหมู่ของผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ โดยผสานการทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาดด้วยระบบนิเวศที่มีผู้ช่วยหรือตัวแทนอัจฉริยะ (Agentic AI) ทำงานเสมือนตัวแทนที่ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่น สร้างผลลัพธ์เหนือคู่แข่งในตลาด พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน
• ตอกย้ำจุดยืนการเป็นผู้นำของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ใน 3 แนวคิดสำคัญ นวัตกรรมดิจิทัล การบริหารจัดการพลังงาน และการสร้างความยั่งยืน
• ฌูเลียน ปิโกด์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ประกาศเดินหน้าแผนระยะยาว ที่มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศแบบบูรณาการแนวใหม่สำหรับความยั่งยืนและการจัดการพลังงาน โดยได้รับการขับเคลื่อนจากกลยุทธ์การเติบโตที่สำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่งและตอบโจทย์อนาคต
หัวใจสำคัญของแผนระยะยาวนี้คือเทคโนโลยี AI แนวใหม่ที่เรียกว่า Agentic AI โดยผู้ช่วยหรือตัวแทนเหล่านี้เป็นซอฟต์แวร์รูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานอย่างอิสระ หรือทำงานร่วมกับลูกค้าและที่ปรึกษา เพื่อคาดการณ์ความต้องการและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนยุคใหม่ที่ถูกทำให้ง่ายขึ้นและเป็นแบบอัตโนมัติยิ่งขึ้น ในขณะที่ซอฟต์แวร์แบบเดิมถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถปฏิบัติงานต่างๆ ได้ด้วยการควบคุมและสั่งการโดยตรง ซึ่งจะแตกต่างจากซอฟต์แวร์ลักษณะผู้ช่วยหรือตัวแทน (Agentic software) ในระบบนิเวศแบบ AI-native ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้อย่างอัตโนมัติ

ระบบนิเวศเจนเนอเรชั่นใหม่ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะพลิกโฉมการบริหารจัดการพลังงานและความยั่งยืน โดยทำหน้าที่เป็นทั้งศูนย์บัญชาการและหน่วยงานด้านประสานงานสำหรับการวางกลยุทธ์และการตัดสินใจ ด้วยการผนวกเหล่าผู้ช่วยหรือตัวแทน AI อัจฉริยะเข้ากับกระบวนการทำงานที่ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ สอดรับกับการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์และระบบขององค์กรอย่างราบรื่น ระบบนี้จึงถูกวางไว้ เพื่อเปลี่ยนความพยายามด้านความยั่งยืนที่กระจัดกระจาย ให้กลายเป็นระบบนิเวศอัจฉริยะที่ปรับปรุงผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องและขับเคลื่อนผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืน

“วิสัยทัศน์ของเราคือ การทำงานร่วมกันอย่างอัจฉริยะ โดย Agentic AI ทำงานเคียงข้างผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์เสมือนเป็นเพื่อนร่วมทีมดิจิทัลอย่างแท้จริง” สตีฟ วิลไฮท์ ประธานฝ่ายธุรกิจความยั่งยืน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “เทคโนโลยีนี้ช่วยให้เราสร้างผลลัพธ์ได้แบบทวีคูณ โดย Agentic AI วิเคราะห์ข้อมูลและงานที่ซับซ้อนอย่างอัตโนมัติ ทำให้ลูกค้าของเรามีเวลาทุ่มเทให้กับแผนงานเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรมที่จะนำไปสู่ผลกระทบเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานซึ่งจะส่งผลต่อวิธีการทำงานขององค์กร สามารถเร่งการดำเนินการด้านพลังงานและการลดคาร์บอนได้”
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค แต่งตั้ง ฌูเลียน ปิโกด์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นผู้ดำเนินการแผนกลยุทธ์ระยะยาวครั้งนี้ ฌูเลียน ปิโกด์ เข้าร่วมงานกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ด้วยประสบการณ์ในด้านความเป็นผู้นำเชิง
กลยุทธ์และการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งเน้นที่นวัตกรรมดิจิทัลและ AI ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพทางธุรกิจและการจัดการทรัพยากรและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างชาญฉลาด ทั้งนี้ ฌูเลียน ปิโกด์ จะเป็นผู้ริเริ่มปรับปรุงการทำงานหลักจากแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมทั้งผสานคุณสมบัติใหม่จาก EcoAct ซึ่งได้เข้าซื้อกิจการเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีคุณสมบัติดังนี้ :
• กลยุทธ์การลดคาร์บอน (Decarbonization Strategy)
• การวิเคราะห์สถานการณ์จำลอง (Scenario Analysis)
• การเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ บริการและกระบวนการทำงาน (Benchmarking)
• การจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emissions Management)
• การรายงานและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Reporting & Compliance)
• การประเมินและจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk)
• การมีส่วนร่วมกับคู่ค้า ซัพพลายเออร์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ (Value Chain Engagement)
• การบริหารจัดการด้านพลังงาน (Energy Management)
• การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Resource Efficiency)
• การเชื่อมโยงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ การนำระบบอัตโนมัติมาใช้ และการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ (Data Integration, Automation, & Visualization)
• สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ให้ทันสมัย (Modernized User Experience)

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือผู้นำด้านการจัดหาโซลูชั่นสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานระดับโลก และจากประสบการณ์ที่มากกว่าสองทศวรรษในการช่วยเหลือบรรษัทข้ามชาติหลายพันแห่งทั่วโลกให้บรรลุเป้าหมายด้านพลังงานและความยั่งยืน ความเชี่ยวชาญนี้เป็นรากฐานสำคัญของระบบนิเวศใหม่ และจะช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ในมิติที่กว้างและในเชิงลึก ซึ่งเป็นการผนวกรวมสิ่งที่ดีที่สุดระหว่าง AI และศักยภาพของมนุษย์เข้าด้วยกัน
“ในสาขาเฉพาะทาง เช่น พลังงานและความยั่งยืน Agentic AI จะมีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อมีการออกแบบให้ความเชี่ยวชาญมีมิติที่ลึกแบบเฉพาะทาง” เอมี่ เครเวนส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ซอฟต์แวร์ด้านความยั่งยืนและ ESG ของ IDC กล่าว “ด้วยประสบการณ์หลายทศวรรษและทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาระดับลึก ชไนเดอร์ อิเล็คทริคกำลังสร้างระบบนิเวศ Agentic AI ที่จะกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการจัดการความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ ซึ่ง Agentic AI ในยุคต่อไปจะเปลี่ยนการจัดการข้อมูลให้กลายเป็นระบบปฏิบัติการแห่งอนาคตได้อย่างง่ายดาย”
ความเป็นผู้นำระดับโลกด้านความยั่งยืนและจริยธรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลกโดย Corporate Knights และได้รับการยกย่องถึง 14 ครั้ง ให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลก เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการดำเนินการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ
“เราตระหนักถึงปริมาณพลังงานที่ AI ใช้ ดังนั้น เราจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและนำการลงทุนนี้ไปใช้ โดยเน้นที่ประสิทธิภาพในการประมวลผลและการใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ ด้วยการบูรณาการหลักการของ Frugal AI เรากำลังออกแบบระบบที่ให้ความอัจฉริยะสูงสุดด้วยการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด ซึ่งหมายถึงการใช้โมเดลที่เรียบง่ายกว่า อัลกอริธึมที่มีประสิทธิภาพ และโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับปรุงให้เหมาะสม เพื่อลดการใช้พลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต้นทุน
โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพ” แดน ไวท์เซลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของแผนกธุรกิจความยั่งยืน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว
การประกาศนี้เป็นการต่อยอดจากประวัติความสำเร็จอันเป็นที่ประจักษ์ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในด้านนวัตกรรม AI ซึ่งครอบคลุมถึง Resource Advisor Copilot เพื่อข้อมูลเชิงลึกด้านความยั่งยืนระดับองค์กร ศูนย์กลาง AI ระดับโลกที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการปรับปรุงประสิทธิภาพถึง 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สิทธิบัตร AI กว่า 18 รายการ และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Nvidia เพื่อให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความยั่งยืนในโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่