นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันชีวิตเปรียบเสมือนหัวใจสำคัญในการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพ รายได้ และการเงินระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตแบบตลอดชีพ แบบสะสมทรัพย์ แบบควบการลงทุน ไปจนถึงแบบบำนาญหรือแบบเงินได้ประจำ ซึ่งแต่ละแบบมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงให้ผู้เอาประกันภัยและครอบครัวแตกต่างกันประกันไม่ได้มีแค่คุ้มครอง แต่ช่วย “ลดหย่อนภาษี”
นอกจากความคุ้มครองแล้ว ภาครัฐยังสนับสนุนการออมและการทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพในระยะยาว โดยมีรายละเอียดการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่น่าสนใจ ดังนี้ :
• เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป (คุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป) : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 100,000 บาท
• เบี้ยประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 25,000 บาท (เมื่อรวมกับ
เบี้ยประกันชีวิตทั่วไปแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท)
• เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ : ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท (ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และเมื่อรวมกับ RMF, SSF และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข. อื่น ๆ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท)
• เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 15,000 บาท (โดยมีเงื่อนไขว่าบิดามารดาจะต้องมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี)
นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ย้ำว่า แม้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเป็น “ผลพลอยได้” ที่น่าสนใจ แต่หัวใจสำคัญของการทำประกันชีวิต คือการสร้างความอุ่นใจและหลักประกันที่มั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวทั้งปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการดูแล ลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วย เป็นเงินทุนการศึกษาให้บุตรหลาน หรือการเตรียมเงินไว้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพหลังเกษียณ
ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากกรมธรรม์ จะต้องแจ้งความประสงค์และให้ความยินยอม (Consent) แก่บริษัทประกันชีวิตเพื่อนำส่งข้อมูลการชำระเบี้ยประกันไปยังกรมสรรพากร หากละเลยขั้นตอนนี้จะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีหลายกรมธรรม์ ต้องให้ความยินยอมให้ครบถ้วนทุกฉบับ อย่างไรก็ตาม ผู้เอาประกันภัยที่เคยใช้สิทธิลดหย่อนภาษีแล้ว หากมีการยกเลิกหรือเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิต ประกันภัยสุขภาพ หรือประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่ใช้ลดหย่อนภาษีก่อนเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด จะถือว่า
ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ดังนั้นผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียภาษีเงินได้เพิ่มเติมของปีภาษีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตไปแล้ว รวมถึงเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องจ่ายให้กับกรมสรรพากร
“ปลายปีนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ไม่ใช่แค่การวางแผนภาษี แต่เป็นการหันกลับมาทบทวนและสร้างหลักประกันที่มั่นคง เพื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่อย่างมั่นใจ อุ่นใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติม