“ศุภชัย” ปลัดกระทรวง อว. ชูบทบาทการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ ในเวที STS forum 2025 ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

0
11

ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ (Speaker) ในการประชุมหัวข้อ “Path to Sustainability toward a Zero Carbon Society” ในพิธีเปิดงาน Science and Technology in Society (STS forum 2025) ร่วมกับผู้นำระดับสูงจากนานาประเทศ จำนวน 6 ท่าน ได้แก่

  1. Mr. Masato Kanda, President and Chairperson of the Board of Directors, Asian Development Bank, The Philippines
  2. Mr. Claude Imauven, Chairman of the Board of Directors, Orano, France
  3. Dr. Munir M. Eldesouki, President, King Abdulaziz City for Science and Technology (KACST), Saudi Arabia
  4. Mr. Ahmad O. Al-Khowaiter, Executive Vice President, Technology and Innovation, Aramco, Saudi Arabia และ
  5. Mr. Arihiko Kato, President and CEO, Atomic Energy Association (ATENA), Japan
  6. Mr. Matsuo Takehiko, Vice Minister for International Affairs at the Ministry of Economy, Trade and Industry, Japan
    โดยมี Ms. Deborah L. Wince-Smith, President & CEO, Council on Competitiveness; President, Global Federation of Competitiveness Councils, USA ทำหน้าที่เป็นประธาน (Chair) ของการประชุม

พร้อมกันนี้ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ คณะผู้บริหารวช. ผู้ทรงคุณวุฒิวช. เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน พร้อม Young Researcher ของ NRCT เข้าร่วมรับฟัง

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กล่าวถึงความท้าทายในการลดการปล่อยคาร์บอน การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคตและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของประเทศไทย พร้อมย้ำว่ากระทรวง อว. ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา โดยจัดสรรงบประมาณกว่า 30% มุ่งเน้นการวิจัยเพื่อความยั่งยืน และการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ

  • การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อการใช้น้ำและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การผลิตพลาสติกชีวภาพทดแทนวัสดุจากฟอสซิล
  • การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเน้นย้ำว่าวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2070” ผ่านกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกับการปฏิบัติจริง

การดำเนินงานเชิงอภิปรายในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางสู่การลดก๊าซคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน โดยอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาซ้ำซ้อนเชิงระบบ อาทิ ด้านอาหาร พลังงาน และน้ำ พร้อมทั้งผลักดันการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในอนาคต

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กล่าวถึงความท้าทายในการลดการปล่อยคาร์บอน การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคตและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของประเทศไทย พร้อมย้ำว่ากระทรวง อว. ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา โดยจัดสรรงบประมาณกว่า 30% มุ่งเน้นการวิจัยเพื่อความยั่งยืน และการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ

  • การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อการใช้น้ำและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การผลิตพลาสติกชีวภาพทดแทนวัสดุจากฟอสซิล
  • การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเน้นย้ำว่าวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2070” ผ่านกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกับการปฏิบัติจริง

การดำเนินงานเชิงอภิปรายในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางสู่การลดก๊าซคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน โดยอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาซ้ำซ้อนเชิงระบบ อาทิ ด้านอาหาร พลังงาน และน้ำ พร้อมทั้งผลักดันการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในอนาคต