ซีคอน หนึ่งในผู้นำตลาดธุรกิจรับสร้างบ้านของไทย ประกาศทิศทางธุรกิจปี 2569 เดินหน้าขยายฐานลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพงานก่อสร้าง ยกระดับงานดีไซน์ และรุกตลาดเศรษฐกิจใหม่ในพื้นที่ EEC ตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ พร้อมเผยยอดจองสร้างบ้านยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เตรียมเปิดตัวแคมเปญ “EVERYONE CAN SELL” หนุนคนไทยสร้างรายได้ง่ายขึ้นจากการแนะนำลูกค้ามาสร้างบ้านกับซีคอน

นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่า ปี 2569 จะเป็นปีที่ธุรกิจรับสร้างบ้านต้องบริหารความผันผวนอย่างรอบคอบ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นปีแห่งโอกาสจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การลงทุนภาครัฐ และความต้องการบ้านคุณภาพที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซีคอนจึงเดินหน้าพัฒนาทั้งด้านนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน การออกแบบ และมาตรฐานงานก่อสร้าง เพื่อรองรับความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคยุคใหม่
“เมื่อมองไปที่โครงสร้างต้นทุน แม้ตลาดก่อสร้างยังมีแรงกดดันจากวัสดุบางประเภทที่มีการปรับราคา รวมถึงค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทในช่วงกลางปี 2568 และค่าจ้างช่างฝีมือในเขตเมืองใหญ่ที่มีอัตราค่อนข้างอยู่ในระดับสูง แต่ผู้ประกอบการที่มีระบบบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพยังสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่พัฒนาเทคโนโลยีงานก่อสร้างและระบบโครงสร้างสำเร็จรูป ซึ่งเป็นหนึ่งในความได้เปรียบของซีคอนที่ใช้โรงงานผลิตโครงสร้างพรีคาสท์ในการสร้างมาตรฐานคุณภาพให้คงที่อยู่เสมอ” นายมนู กล่าวเสริม

สำหรับผลงานของซีคอนในปี 2568 แบบบ้านยอดนิยมอย่าง “Your Home Series 1 & 2” ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจองรวม 122 หลัง คิดเป็นมูลค่า 408,212,000 บาท ทั้งยังได้รับความสนใจจากตลาดต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ อาทิ ชลบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี สระบุรี เขาใหญ่ นครราชสีมา และสุพรรณบุรี สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการบ้านคุณภาพกำลังขยายตัวสู่จังหวัดโดยรอบของกรุงเทพฯ ในขณะที่แบบบ้าน “ปลูกเรือน Series” ซึ่งเริ่มจำหน่ายในเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเช่นกัน ปัจจุบันมียอดจองในหลายจังหวัด ประกอบด้วย ชลบุรี ชัยนาท สมุทรสาคร และนนทบุรี

จากกระแสการตอบรับที่ดีทำให้ซีคอนเดินหน้าบุกตลาด EEC แบบเต็มรูปแบบ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ผ่านบริการออนไลน์และการปรับดีไซน์ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ โดยนายมนูกล่าวเพิ่มเติมว่า EEC เป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนระดับประเทศ ซีคอนจึงมีเป้าหมายในการนำบริการงานก่อสร้างที่มีระบบควบคุมคุณภาพและบริการครบวงจรเข้าไปสนับสนุนประชาชนในพื้นที่ เพื่อยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยและมาตรฐานการก่อสร้างในโซนภาคตะวันออกให้สูงขึ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ งานบ้านดีไซน์พิเศษในกลุ่ม SEACON ID ยังคงเป็นอีกหนึ่งตลาดสำคัญที่ช่วยเสริมรายได้ขององค์กร โดย SEACON ID จะเป็นงานสั่งสร้างต่อหลังที่อยู่ในช่วงราคาประมาณ 20-40 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 30,000 บาทต่อตารางเมตร พร้อมมีลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับพรีเมียมติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
โดยซีคอนยังคงเดินหน้านโยบายด้านความยั่งยืนผ่านแนวคิด Green Construction ที่ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุที่ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การออกแบบบ้านช่วยประหยัดพลังงาน การลดเศษวัสดุในไซต์งานด้วยระบบพรีคาสท์ และการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่มองหาบ้านซึ่งคำนึงถึงสุขภาพ พลังงาน และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซีคอนยังเปิดเกมการตลาดใหม่ผ่านแคมเปญ SEACON Affiliate “Everyone Can Sell” ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนในหลากหลายอาชีพสามารถสร้างรายได้เสริมจากการแนะนำลูกค้าเข้ามาจองสร้างบ้านกับบริษัทฯ โดยมีค่าตอบแทนสูงสุด ล้านละ 5,000 บาท (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) พร้อมระบบติดตามผลผ่าน Line Official ที่พัฒนาเพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น และช่วยให้ผู้ที่เข้าร่วมสามารถสื่อสารข้อมูลได้สะดวกและมีประสิทธิภาพ
ในมุมมองของซีคอน แนวโน้มธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ยังคงมีพลังจากความต้องการบ้านคุณภาพของผู้บริโภคหลายกลุ่ม ตั้งแต่คนวัยทำงาน ครอบครัวที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่ม ไปจนถึงผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการบ้านผสมสำนักงาน รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์โลก นายมนู กล่าวสรุปว่า ทิศทางของผู้บริโภคกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่บ้านต้องตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชัน คุณภาพชีวิต และความยั่งยืน ซีคอนพร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับธุรกิจรับสร้างบ้านไทย ด้วยนวัตกรรมการก่อสร้างและบริการที่เชื่อถือได้ เพื่อรองรับตลาดที่เติบโตขึ้นในอนาคต





















