เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) นำโดย นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค เปิดตัว “การส่งเสริมประกันภัยเชิงรุกสู่ระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน ปี 2568” ณ หอประชุมศาลาประชาคม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
โดยมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรท้องถิ่น และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมุ่งสร้าง Insurance Literacy ความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้แก่ประชาชน ในพื้นที่เป้าหมาย พร้อมยกระดับระบบการประกันภัยให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยง ทั้งในมิติชีวิต ทรัพย์สิน และธุรกิจ โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์อย่างเชียงคาน เมืองบ้านไม้โบราณที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
นางสาววสุมดีฯ กล่าวว่า สำนักงาน คปภ. มีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้กำกับดูแลระบบประกันภัย” ที่ทำงานสองด้านควบคู่กัน คือ คุ้มครอง สิทธิประโยชน์ประชาชน และสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ โดยทำหน้าที่กำกับฐานะบริษัทประกันภัยให้มีความมั่นคง เพื่อให้สามารถรับประกัน ความเสี่ยงภัยได้ทั่วประเทศ พร้อมทั้งตรวจสอบมาตรฐานสัญญาประกันภัยให้เป็นธรรมต่อผู้เอาประกันภัย ควบคู่กับการกำกับดูแลการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนได้รับการเยียวยาอย่างเป็นธรรม อีกด้านหนึ่ง สำนักงาน คปภ. ยังทำหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมความรู้และ สร้างความเข้าใจด้านการประกันภัยให้แก่ประชาชน เพราะในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ โรคภัย หรือเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ดังนั้น “ประกันภัย” จึง “ไม่อาจมองเป็นเพียงสัญญา” แต่คือเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของชีวิตและธุรกิจ ที่ช่วยแบ่งเบาภาระเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด ซึ่งช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นใจให้ครอบครัว ชุมชน และสังคม “เมื่อประชาชนเข้าถึง การประกันภัยได้มากขึ้น ภาระของรัฐในการเยียวยาก็ลดลง เศรษฐกิจก็แข็งแรงขึ้น และชุมชนก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง” ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีการจัดกิจกรรมเสวนาล้อมวงคุย “รับมืออย่างไร เมื่อเกิดภัยไม่คาดคิด” ซึ่งเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองการจัดการความเสี่ยง ได้แก่
- นายรัฐพล เหลืองวงศ์ไพศาล ประธานหอการค้าจังหวัดเลย ชี้ว่า การทำประกันภัยช่วย “พยุงธุรกิจ” ให้เดินหน้าต่อได้เมื่อเผชิญความสูญเสีย
- นางสาวมณทกัญจน์ คงสำราญ นักวิเคราะห์นโยบาย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดเลย ย้ำให้ความสำคัญความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ควบคู่กับการสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยว
- นายกมล คงปิ่น นายกเทศมนตรีตำบลเชียงคาน ต้องการยกระดับเชียงคานให้เป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นพื้นที่ปลอดภัยและบอกต่อได้ โดยระบุความเสี่ยงใหญ่ของพื้นที่คือ “ไฟไหม้บ้านไม้เก่า” พร้อมเปิดเผยแผนป้องกันและรับมือ
- นางสาวกัลยา จุกหอม รองผู้อำนวยบริหารการสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปรียบประกันภัย คือ “เพื่อนแท้” ที่ช่วยเยียวยา พร้อมแนะนำกรมธรรม์ที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการเชียงคาน เช่น “ประกันอัคคีภัย บ้านอยู่อาศัย” และ “ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก”
- นางสาวเบญจมาภรณ์ ฉัตร์คำ ตัวแทนผู้ประกอบการในพื้นที่ แบ่งปันประสบการณ์ตรง ยืนยันว่าประกันภัยคือ “เกราะป้องกันธุรกิจ”
- นางพานทิพย์ บุญศรี ผู้อำนวยการ สำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น แนะนำประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยราคาประหยัด เพียง 400 บาทต่อปี
โดยภายในงานยังมีการออกบูธของบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัยกว่า 19 บูธ เพื่อประชาสัมพันธ์ความรู้และบริการด้านการประกันภัยแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ สำหรับในช่วงบ่าย สำนักงาน คปภ. ได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) “การเตรียมความพร้อมป้องกันความเสี่ยงภัย” ณ วัดศรีคุนเมือง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยมี พันจ่าเอกสัญญา วงศ์อนุ หัวหน้าฝ่ายปกครอง เทศบาลตำบลเชียงคาน เป็นวิทยากร ถ่ายทอดความรู้การรับมือภัยพิบัติให้ชุมชน พร้อมส่งมอบอุปกรณ์ป้องกันภัย อาทิ ถังดับเพลิง สายดับเพลิง กรวยจราจร จากสำนักงาน คปภ. และภาคเอกชน โดยไฮไลท์สำคัญ คือ กิจกรรม “ซ้อมแผน เผชิญภัย” บริเวณถนนคนเดินเชียงคาน เพื่อให้ผู้ประกอบการและชุมชนได้เรียนรู้ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจริง เพื่อลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน
รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค กล่าวปิดท้ายว่า การขับเคลื่อนเชียงคานในครั้งนี้ ไม่เพียงสร้างความเข้าใจด้านการประกันภัย แต่ยังสอดรับกับกระแส ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) และแนวทาง “Green Destination Tourism” ที่เชียงคานมีศักยภาพโดดเด่น พร้อมเชื่อมโยงการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน โดย “การร่วมแรงร่วมใจของภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน จะทำให้เชียงคานเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมยกระดับสู่เมืองท่องเที่ยวคุณภาพระดับโลกที่ประชาชนมีชีวิตดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และยั่งยืนมากขึ้น” ซึ่งโครงการนี้สะท้อนบทบาทสำนักงาน คปภ. ที่ไม่เพียงเป็น “ผู้กำกับดูแล” แต่ยังเป็น พันธมิตรของสังคม ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง ปลอดภัย และยั่งยืนอย่างแท้จริง