ศูนย์พิษวิทยา และฝ่ายศึกษาสายพันธุ์เชื้อราก่อโรค สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับตัวอย่างเพื่อตรวจวิเคราะห์ชนิดของเห็ด ซึ่งเป็นเห็ดที่มีผู้ป่วยรับประทานแล้วเข้าโรงพยาบาล โดยมีเห็ดพิษที่ส่งตรวจยืนยันในช่วงหน้าฝนนี้ ได้แก่ เห็ดระโงกหินหรือเห็ดระงากขาว เห็ดระงากหมวกดำ เห็ดถ่านเลือด เห็ดหมวกจีน เห็ดคันร่มพิษ เห็ดหัวกรวดครีบเขียว ซึ่งเห็ดพิษบางชนิดจะมีลักษณะคล้ายกับเห็ดที่รับประทานได้ ดังนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงมีวิธีคัดแยกเบื้องต้นในการจำแนกเห็ดพิษกับเห็ดไม่มีพิษ ดังนี้

❌ เห็ดระโงกหินหรือเห็ดระงากขาวและเห็ดระงากหมวกสีดำ สร้างพิษกลุ่ม Amatoxins เมื่อรับประทานเห็ดพิษกลุ่มนี้ผู้ป่วยจะเกิดอาการภายใน 6-24 ชั่วโมง มีอาการท้องร่วง เป็นตะคริวที่ท้อง คลื่นไส้ อาเจียนแสดงอาการประมาณ 1 วัน หลังจากนั้นมีอาการตับและไตวายและอาจเสียชีวิต วิธีการคัดแยก เห็ดระโงกหินหรือเห็ดระงากขาวและเห็ดระงากหมวกสีดำ มีพิษ ผิวหมวกเห็ดบริเวณขอบหมวกไม่มีริ้วคล้ายซี่หวี และก้านตันตลอดแนวเมื่อผ่าก้านเห็ด เห็ดระโงกขาวที่รับประทานได้ ผิวหมวกเห็ดสีขาวครีม สีเหลือง ผิวเรียบมันวาว ขอบหมวกมีริ้วคล้ายซี่หวีและก้านกลวงตลอดแนวเมื่อผ่าก้านเห็ด ในกรณีของเห็ดระโงกไส้เดือนหรือเห็ดขี้ไก่เดือน ผิวหมวกเห็ดสีน้ำตาลเข้มกลางหมวกแล้วค่อยๆจางลงมาที่ขอบ ผิวเรียบ ขอบหมวกมีริ้วคล้ายซี่หวีและก้านกลวงตลอดแนวเมื่อผ่าก้านเห็ด

❌เห็ดถ่านเลือด จะเกิดอาการภายใน 2 ชั่วโมง มีอาการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ต่อมาหลังจาก
6 ชั่วโมง มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อ ตับและไตวายและอาจเสียชีวิต วิธีการคัดแยก เห็ดถ่านเลือดมีพิษ หมวกเห็ดทรงกรวยขนาดใหญ่ สีน้ำตาลเข้มถึงสีดำ ครีบห่างสีเหลืองอมน้ำตาล และมีน้ำยางสีแดงเมื่อผ่าดอกเห็ด เห็ดถ่านเล็กที่รับประทานได้ หมวกเห็ดรูปทรงชามคว่ำขนาดเล็ก สีขาวอมเทาถึงดำ ครีบถี่สีขาว และไม่พบน้ำยางสีแดงเมื่อผ่าดอกเห็ด

❌เห็ดหมวกจีน สร้างสารพิษมัสคารีน และเห็ดคันร่มพิษ มีลักษณะคล้ายเห็ดโคนหรือเห็ดปลวกที่กิน
ได้หลายชนิด และเห็ดหมวกจีนมีพิษบางชนิดมักขึ้นใกล้กับจอมปลวกเหมือนกับเห็ดโคนทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดว่าเป็นเห็ดโคนกินได้และเกิดเหตุการณ์บ่อยครั้ง เมื่อรับประทานเห็ดพิษกลุ่มนี้ผู้ป่วยจะเกิดอาการภายใน 30 นาที-2 ชั่วโมง มีอาการเหงื่อออกมาก น้ำตาไหล น้ำลายไหล ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงชีพจรเต้นช้า และอาจทำให้เสียชีวิตได้ภายในครึ่งชั่วโมง ส่วนเห็ดคันร่มพิษสร้างสารพิษ ทำให้เกิดอาการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และอาจเกิดสภาวะหายใจลำบาก วิธีการคัดแยก เห็ดหมวกจีน ผิวหมวกเห็ดหยาบ กลางหมวกเห็ดเป็นปุ่มนูน ขอบหมวกฉีกเมื่อบานครีบมีสีเหลืองอมน้ำตาล และสีชมพูอมน้ำตาล เห็ดคันร่มพิษ ผิวเรียบ กลางหมวกเห็ดเป็นปุ่มนูน ครีบมีสีชมพูอมน้ำตาล

❌เห็ดหัวกรวดครีบเขียว เมื่อรับประทานเห็ดพิษกลุ่มนี้ผู้ป่วยจะเกิดอาการภายใน 15 นาที- 4 ชั่วโมง ทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เป็นตะคริวที่ท้อง และท้องเสีย วิธีการคัดแยก เห็ดหัวกรวดครีบเขียว หมวกเห็ดทรงชามคว่ำ บริเวณกลางหมวกมีเกล็ดขนาดใหญ่ ครีบมีสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเขียวปนเทาเมื่อแก่ และก้านมีวงแหวนขอบสองชั้น

❌เห็ดก้อนฝุ่น หรือเห็ดไข่หงส์ (Scleroderma) ห้ามรับประทาน เมื่อรับประทานเห็ดพิษกลุ่มนี้จะเกิดอาการระคายเคืองระบบทางเดินอาหารภายใน 1 ถึง 3 ชั่วโมง โดยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย นอกจากนี้ยังสามารถก่อให้เกิดอาการมึนงง ตามัว และสภาวะหายใจลำบาก วิธีการคัดแยก เห็ดก้อนฝุ่น พบลักษณะคล้ายรากหรือก้านดอก ผิวไม่เรียบคล้ายมีเกล็ดปกคลุม และเมื่อผ่าดอกเห็ดอาจพบการเปลี่ยนสี ส่วนเห็ดเผาะหรือเห็ดถอบ ที่รับประทานได้ ลักษณะของเห็ดเผาะหนัง จะมีผิวเรียบ ดอกเห็ดหนาและแข็ง ส่วนเห็ดเผาะฝ้าย ผิวเรียบมีเส้นใยที่เป็นขุยสีขาวปกคลุม ดอกอ่อนนุ่ม โดยทั้ง 2 ชนิดต้องไม่พบลักษณะคล้ายรากหรือก้านดอก
การป้องกันการกินเห็ดพิษ สามารถทำได้ ดังนี้
- ควรรับประทานเห็ดที่รู้จักและต้องมั่นใจจริงๆว่าเป็นเห็ดที่รับประทานได้
- ควรปรุงเห็ดให้สุกก่อนรับประทาน โดยเฉพาะเห็ดระโงกในระยะไข่
- ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้เกี่ยวกับเห็ดให้หลีกเลี่ยงการรับประทานเห็ด
- อย่ารับประทานเห็ดพร้อมกับดื่มสุราเพราะเห็ดบางชนิดจะปรากฎอาการพิษเมื่อดื่มแอลกอฮอล์
- เมื่อเกิดอาการพิษจากการรับประทานเห็ดควรรีบไปพบแพทย์ทันที
“สำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำได้โดยให้รับประทานผงถ่าน (activated charcoal) โดยบดละเอียด 2 ถึง 3 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 แก้ว ผสมกับน้ำให้ข้นเหลว เพื่อดูดสารพิษของเห็ดในทางเดินอาหาร และรีบนำผู้ป่วยไปหาหมอหรือส่งโรงพยาบาล พร้อมกับนำเห็ดที่เหลือจากกินไปด้วย เพื่อให้แพทย์ใช้ประกอบการวินิจฉัย รักษาตามอาการ โดยสามารถส่งตรวจสอบชนิดของเห็ดพิษทางห้องปฏิบัติการศูนย์พิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทร. 0 2951 0000 ต่อ 99716 และศูนย์ประสานงานการตรวจวิเคราะห์และเฝ้าระวังโรคทางห้องปฏิบัติการ โทร. 0 2951 1485”