เอสซีจี เผยแผนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างปี 2020 ปรับโมเดลธุรกิจ ตั้งเป้าดัน “เซอร์วิสโซลูชัน” โต 2 เท่า รุกธุรกิจ “ร้านค้าปลีกแบบ Active OMNI-Channel” พร้อมเปิดช่องทาง “ศูนย์กลางสำหรับคนก่อสร้าง”

0
1559

เอสซีจี เผยกลยุทธ์ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างปี 2020 ยกระดับประสบการณ์ด้าน / วงการ… การก่อสร้างและที่อยู่อาศัย ด้วยสินค้าพร้อมบริการและโซลูชันครบวงจร ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลตอบโจทย์ความสะดวกสบาย รวดเร็ว และแก้ปัญหา “หาช่างยาก ไม่รู้จะซื้อของที่ไหน งานไม่ได้มาตรฐาน” พร้อมรุกธุรกิจร้านค้าปลีก สร้างช่องทางสำหรับเจ้าของบ้านที่จะสร้างหรือปรับปรุงต่อเติมบ้าน ด้วย SCG HOME – Active OMNI-Channel และสร้าง Co-Working Space ศูนย์กลางสำหรับช่างและผู้รับเหมา ภายใต้ชื่อ “CPAC Solution Center” ให้คำปรึกษา และบริการเทคโนโลยีโซลูชันงานก่อสร้าง ยกระดับวงการก่อสร้างครบวงจรทั้ง “สินค้า บริการ และช่องทางการขาย”

 

นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปี 2020 ว่า “เอสซีจีได้พัฒนา “Service Solution” ครอบคลุมทั้งงานสร้างใหม่ไปจนถึงงานรีโนเวท ภายใต้ 2 โซลูชันหลัก ได้แก่ Construction Solution” และ “Living Solution” ให้กับกลุ่มช่าง ผู้รับเหมา และเจ้าของบ้าน ขณะเดียวกันได้พัฒนาช่องทางค้าปลีกแบบ Active OMNI-Channel เชื่อมต่อประสบการณ์ทั้งร้านค้าออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เลือกซื้อสินค้าและบริการจากเอสซีจีได้ทุกที่ทุกเวลา และยังมีศูนย์ “CPAC Solution Center” ซึ่งเป็น Co-Working Space ศูนย์กลางเทคโนโลยีโซลูชันสำหรับกลุ่มช่างและผู้รับเหมาอีกด้วย เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคหรือเจ้าของโครงการในปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่สินค้าคุณภาพเท่านั้น แต่ต้องการงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน สามารถควบคุมงบประมาณได้ อีกทั้งลูกค้ายังขาดความรู้ด้านงานก่อสร้าง จึงต้องการคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนต้องการเข้าถึงสินค้าและบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว จากปัญหาและความต้องการเหล่านี้ ธุรกิจจึงต้องพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้”

ด้าน นายชนะ ภูมี Vice President – Cement and Construction Solution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “ปัจจุบันช่าง ผู้รับเหมา และเจ้าของโครงการต้องการเทคโนโลยีที่ช่วยบริหารจัดการให้เกิดความคุ้มค่าด้านต้นทุน ประหยัดเวลาในการก่อสร้าง ตลอดจนต้องการผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานด้านเทคนิคต่างๆ เอสซีจีจึงได้คิดค้นพัฒนา Construction Solution ซึ่งถือเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ ในรูปแบบ Solution for Life ที่จะช่วยยกระดับวงการก่อสร้างทั้งอีโคซิสเท็ม ช่วยให้ช่างและผู้รับเหมาทำงานได้ดีขึ้น แก้ปัญหาต้นทุนสูง งานล่าช้า งานไม่ได้มาตรฐาน หรือที่เรียกว่า Waste ให้น้อยลง เพื่อให้เกิด Wealth เพิ่มขึ้น  ด้วย 1) เทคโนโลยีการก่อสร้าง 2) โซลูชันที่พัฒนาแบบ Personalize คือ พัฒนาจากปัญหาและความต้องการของช่างแต่ละบุคคล (Customer-Centric) พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ “CPAC Solution Center” Co-Working Space สำหรับคนในวงการก่อสร้างแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อเป็นที่แลกเปลี่ยน ให้คำปรึกษา และให้บริการโซลูชันงานก่อสร้าง โดยซีแพค (CPAC) จะเป็นผู้เข้าไปช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านข้อมูลและเชื่อมโยงนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีต่างๆ จากพันธมิตรในวงการก่อสร้าง ในรูปแบบของ Open Innovation เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ พร้อมนำเทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) มาใช้ในออกแบบให้ได้งานที่มีคุณภาพและช่วยลดการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการยกระดับวงการก่อสร้างได้อย่างครบวงจร” นายชนะกล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ Living Solution” เอสซีจีพบว่า นอกจากปัญหาเรื่องการก่อสร้างแล้ว ปัจจุบันลูกค้ายังมีปัญหาเรื่องการอยู่อาศัยด้วย ไม่ว่าจะเป็นบ้านร้อน ฝุ่นละออง ความปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ เอสซีจีจึงได้พัฒนาองค์ความรู้ด้านการอยู่อาศัยร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรภายนอก จนเกิดโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการอยู่อาศัยหลักๆ ได้แก่ 1) โซลูชันด้านความสบายในการอยู่อาศัย (Comfort) แก้ปัญหาบ้านร้อน สร้างสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยภายในบ้าน 2) โซลูชันด้านพลังงาน (Energy) โดยพัฒนา SCG SOLAR ROOF SOLUTIONS เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้พลังงานสะอาด ประหยัดค่าไฟ และช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ 3) โซลูชันด้านความปลอดภัยภายในบ้าน (Safety) เช่น โซลูชันปรับพี้นที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งในอนาคตจะมีโซลูชันด้านที่อยู่อาศัยทยอยออกสู่ตลาดมามากขึ้น

นอกจากนี้ ภายใต้ Living Solution ยังมี โซลูชันสำหรับงานรีโนเวทหรืองานซ่อมแซม โดยได้พัฒนาบริการด้านหลังคาภายใต้ชื่อ SCG Roof Renovation ซึ่งให้บริการตั้งแต่งานซ่อมปรับปรุงหลังคาบ้านเก่า บริการซ่อมหลังคารั่ว ไปจนถึงบริการทาสีหลังคา และได้นำเทคโนโลยีโดรนมาใช้สำรวจหน้างาน ช่วยให้ทำงานสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย อีกทั้งยังได้พัฒนา Smart  Application มาใช้ในการถอดแบบ ประมาณการราคาจากภาพถ่าย เพื่อให้ลูกค้าได้รับใบเสนอราคาได้รวดเร็วขึ้น

นายนิธิ กล่าวเพิ่มเติมถึงกลยุทธ์ที่สำคัญอีกด้าน คือ การรุกธุรกิจค้าปลีกด้วยรูปแบบ Active OMNI-Channel ว่า “รูปแบบการดำเนินการร้านค้าของเอสซีจีในรูปแบบเดิม คือ เป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่บริษัทผลิตเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะมีร้านจำหน่ายสินค้าดังกล่าวครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ แต่ลูกค้าก็ยังมีปัญหาว่าไม่รู้จะซื้อสินค้าและบริการที่ใดอีกทั้ง ปัจจุบันลูกค้าที่จะทำบ้านหรือก่อสร้างเกือบ 100% เริ่มต้นหาข้อมูลจากช่องทางออนไลน์ โดยพบว่าลูกค้ามีการหาข้อมูลทางออนไลน์สลับกับไปที่ร้านนานถึง 6 เดือนกว่าจะตัดสินใจซื้อได้ จากปัญหาดังกล่าว เอสซีจีจึงได้พัฒนาช่องทางการขายที่เป็นธุรกิจค้าปลีกแบบ Active OMNI-Channel ภายใต้ชื่อ SCG HOME ที่มีร้านค้าแบบออฟไลน์และออนไลน์ที่เชื่อมต่อกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ช่วยสร้างประสบการณ์การทำบ้านให้สะดวกสบาย มั่นใจ ไร้กังวล และสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเริ่มต้นหาข้อมูลหรือคุยกับร้านใหม่ เพราะเราจะมีการเก็บข้อมูลของลูกค้าไว้อย่างต่อเนื่อง และได้นำรีเทลเทคโนโลยีมาใช้ อาทิ เทคโนโลยี VR (Virtual Reality) ที่ช่วยแสดงแบบจำลองห้องต่างๆ จากการออกแบบกับทางเอสซีจี และหากลูกค้าต้องการมาดูของจริง ก็สามารถมาดูได้ที่ร้าน SCG HOME สาขาใกล้บ้านได้

นอกจากนี้ เอสซีจีได้พัฒนาเครือข่ายช่างที่ผ่านการอบรมจากสถาบันที่ได้รับการยอมรับ จึงมั่นใจได้ในมาตรฐานการติดตั้ง รวมทั้งเรื่องการขนส่งสินค้า ที่มีเครือข่ายการจัดส่งสินค้าวัสดุก่อสร้างกว่า 840 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งการรุกธุรกิจรีเทลในครั้งนี้ ทำให้เอสซีจีมีความพร้อมทั้งด้านสินค้า บริการ เทคโนโลยี และเครือข่ายพันธมิตร เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจและไว้วางใจการให้บริการของเอสซีจีได้อย่างแน่นอน” นายนิธิ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ SCG HOME Contact Center โทร. 02-586-2222 หรือคลิกเว็บไซต์ www.scgbuildingmaterials.com และติดตามข่าวสารอื่นๆ ของเอสซีจีได้ที่ https://scgnewschannel.com  / Facebook: scgnewschannel / Twitter: @scgnewschannel หรือ Line@: @scgnewschannel