กรุงศรีคาดเงินบาทซื้อขายในกรอบ 31.15-31.50 จับตาเงินหยวน, ข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ

0
1163

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.15 – 31.50 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 31.26 ต่อดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 31.23 – 31.40 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโรและปอนด์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้รองประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ฝ่ายกำกับดูแลให้ความเห็นว่าพร้อมที่จะเริ่มต้นหารือเกี่ยวกับการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป ส่วนสมาชิกคณะกรรมการของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวว่า อีซีบียังไม่ควรชะลออัตราการซื้อพันธบัตร ซึ่งลดการคาดการณ์ของตลาดที่ว่าอีซีบีจะประกาศลดการซื้อสินทรัพย์หลังการประชุมนโยบายวันที่ 10 มิถุนายน อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงท้ายสัปดาห์และนักลงทุนไม่ขานรับข้อมูลค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนเมษายนของสหรัฐฯที่พุ่งสูงขึ้นเกินคาด ส่วนเงินเยนปรับตัวอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 เดือนท่ามกลางการปรับสถานะการลงทุนช่วงสิ้นเดือนและราคาสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดโลกซึ่งวิ่งขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยมูลค่า 7,078 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตร 2,299 ล้านบาท ตามลำดับ

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ตลาดจะให้ความสนใจกับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯหลายรายการ อาทิ ดัชนี ISM ภาคบริการและการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพฤษภาคม โดยตัวเลขดังกล่าวอาจมีผลต่อท่าทีของเฟดในการประชุมวันที่ 15-16 มิถุนายน และคาดกันว่าในการประชุมประจำปีของธนาคารกลางที่เมือง Jackson Hole ในเดือนสิงหาคม ประธานเฟดจะส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแนวนโยบายการเงินซึ่งอาจกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ขณะที่ในระหว่างนี้ ค่าเงินหยวนอาจชี้นำสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียได้เช่นกัน โดยทางการจีนได้ปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าเร็วขึ้นในระยะนี้เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากราคาสินค้านำเข้าซึ่งที่สูงขึ้น

สำหรับปัจจัยในประเทศ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่ายอดส่งออกเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 13.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ น้ำมันสำเร็จรูป และเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 มูลค่าส่งออกขยายตัว 4.78% ขณะที่ยอดนำเข้า เติบโต 13.85% ส่งผลให้มียอดเกินดุลการค้า 698 ล้านดอลลาร์ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนจากธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ทางกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรีคาดว่าบัญชีเดินสะพัดของไทยอาจยังคงขาดดุลต่อเนื่องในเดือนเมษายนตามการขาดดุลบริการ ขณะที่แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนอกภาคส่งออกมีความไม่แน่นอนสูงและขึ้นอยู่กับการจัดหาและกระจายวัคซีน ทางด้านมาตรการเยียวยาจากภาครัฐจะช่วยประคองเศรษฐกิจในประเทศได้บางส่วน