กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ ยืนยันจัดงาน “THAIFEX – ANUGA ASIA 2020” ในรูปแบบใหม่ “The Hybrid Edition” เปิดเจรจาซื้อขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ 22-26 กันยายน 2563

0
1839

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์  หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ ประเทศเยอรมนี ในฐานะผู้จัดงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม THAIFEX – ANUGA ASIA 2020 อย่างเป็นทางการ ยืนยันความพร้อมในการจัดงานที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 22 – 26 กันยายน 2563 โดยครั้งนี้ได้มีการปรับรูปแบบการจัดงานใหม่ในลักษณะไฮบริด เพื่อรองรับชีวิตวิถี New Normal ภายใต้ชื่องาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2020 “The Hybrid Edition”
จัดให้มีการเจรจาซื้อขายแบบออฟไลน์ควบคู่ออนไลน์ เผยได้รับการตอบรับจากบริษัทที่ต้องการแสวงหาโอกาสในรูปแบบใหม่ๆ เข้าร่วมแสดงสินค้าแบบออฟไลน์จำนวนทั้งสิ้น 708 บริษัท โดยเป็นผู้ประกอบการไทย 519 บริษัท และตัวแทนที่อยู่ในประเทศไทยของผู้ประกอบการต่างชาติจาก 15 ประเทศ 189 บริษัท 

    นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า “การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั่วโลก แต่คณะผู้จัดงานมองเห็นสัญญาณบวกของการฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทย จึงได้เดินหน้าจัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2020
“The Hybrid Edition” โดยจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นลักษณะไฮบริด ที่ผสานการจัด Virtual Trade Fair และ Virtual – Online Business Matching นอกเหนือจากการจัดงานแสดงสินค้าตามปกติ โดยนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนในการติดต่อกับผู้ซื้อต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มให้ฟื้นตัวกลับมาโดยเร็ว และตอบโจทย์นักธุรกิจต่างชาติหรือผู้นำเข้าสินค้าอาหารที่ไม่สามารถเดินทางมาไทยได้ นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศยังได้จัดให้มีการแสดงสินค้าเสมือนจริง THAIFEXporter Virtual Trade Show ควบคู่ไปด้วย ในส่วนของการจัดงานแบบออฟไลน์จะจัดแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี และเพิ่มกิจกรรมการจัดนิทรรศการด้านหน้าโถงอาคาร ภายใต้แนวคิด EAT RESPONSIBLY เพื่อนำเสนอแนวโน้มของการบริโภคยุคใหม่ที่ไม่ได้มุ่งเน้นที่รสชาติ หรือประโยชน์ของอาหารเท่านั้น แต่ยังลงลึกไปถึงที่มาของวัตถุดิบ กรรมวิธี หรือเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารจานนั้น ๆ ผ่านประเภทการจัดแสดง 8 กลุ่ม ได้แก่ Future Food, Free from Food, Food Ingredients, Asia’s Herb to the World, New Protein Source, Thailand Trust Mark, Style Bangkok Showcase และ Halal to the World​   การจัดงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 คณะผู้จัดงานจึงได้มีมาตรการการดูแลสุขอนามัยของผู้เข้าร่วมงานอย่างเคร่งครัด มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เพื่อดำเนินการตามแนวทางความปลอดภัยเกี่ยวกับระยะห่าง ความหนาแน่นของบูธแสดงสินค้า มาตรการด้านสุขภาพและอนามัยต่าง ๆ เช่น สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่งานแสดงสินค้า ตรวจวัดอุณหภูมิ รวมถึงการจัดการผู้เข้าร่วมงาน หรือคณะผู้แทนการค้าจากต่างประเทศ โดยจะดำเนินการตามมาตรการและข้อกำหนดในการควบคุมโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้มีปัญหาและสร้างผลกระทบใดๆ ต่อทุกภาคส่วนในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีแพลตฟอร์มการลงทะเบียนล่วงหน้าในรูปโฉมใหม่โดยเปิดให้ผู้เข้าร่วมงานพิมพ์ป้ายชื่อของตนเองที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนหน้างาน พร้อมการจัดการคิวที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความสบายใจและความมั่นใจให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน

    ในส่วนของ “THAIFEXporter Virtual Trade Show” ซึ่งเป็นงานในรูปแบบออนไลน์ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยซึ่งหลายรายได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้มีโอกาสเจรจาการค้า และริเริ่มการจัดงานแสดงสินค้าในลักษณะเสมือนจริง ซึ่งเป็นแนวโน้มของการจัดงานแสดงสินค้ายุคใหม่ โดยจะมีการซื้อขายผ่านเว็บไซต์

www.thaifexportervirtualtradeshow.  com

จัดแสดงคูหาเสมือนจริงในรูปแบบ 3 มิติ ผู้ชมงานจากต่างประเทศสามารถเข้าไปเลือกสินค้าในชั้นวางสินค้า ชมคลิปวิดีโอ เปิดแคตตาล๊อกสินค้า ฝากข้อความนัดเวลาเจรจาการค้าล่วงหน้า หรือเจรจาการค้าได้ทันที
โดยจะเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยที่เข้าร่วมแสดงสินค้างาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2020
The Hybrid Edition” ครั้งนี้ สามารถเข้าร่วมงานออนไลน์ของเราได้” 

    นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่าประเทศไทย เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ลำดับที่ 11 ของโลก และเป็นอันดับต้นของเอเชีย มียอดส่งออกกว่า 1.25 ล้านล้านบาท  สำหรับธุรกิจอาหารไทยในยุค New normal ทำให้เกิดเทรนด์ธุรกิจใหม่มากมาย เช่น ผู้ค้าปลีก ร้านอาหาร หรือแม้แต่ธุรกิจดั้งเดิมที่ได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น​ เราจึงต้องการมอบโอกาสที่เหมาะสมให้กับผู้ประกอบการในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงนี้ และฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสนับสนุนผู้ประกอบการให้ได้รับประโยชน์จากเทรนด์เหล่านี้ เราจึงได้จัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2020 “The Hybrid Edition” เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประเทศไทยในฐานะตลาดอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานได้รับประโยชน์จากโอกาสใหม่ ๆ ในการเข้าถึงตลาดในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก ซึ่งในปีนี้มีผู้ประกอบการไทยได้ให้ความสนใจการจัดงานรูปแบบใหม่และยืนยันเข้าร่วมงานแล้วจำนวน 319 บริษัท 1,116 คูหา เป็น SME 120 ราย และมีรายใหม่ 90 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่สามารถสร้างงาน สร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างรายได้ ก่อให้เกิดมูลค่าแก่ระบบเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้เรายังมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการไทยทั้ง Manufacturer และ Exporter ที่เข้าร่วม อาทิ ส่วนลดค่าพื้นที่เข้าร่วมงาน 20% สิทธิการเข้าร่วมเจรจาการค้ากับผู้ซื้อ/ผู้นำเข้าผ่าน Online Business Matching, VDO Conference, Facebook Live แนะนำสินค้าของบริษัท”

    ทางด้าน นายภูษิต ศศิธรานนท์ กรรมการผู้จัดการ  โคโลญเมสเซ่ ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ว่าผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญความยากลำบากจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 อยู่ แต่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต่อภาคธุรกิจซึ่งต้องดำเนินการต่อไป เรามีความพร้อมที่จะฟันฝ่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้ และมุ่งเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยในปีนี้มีตัวแทนที่อยู่ในประเทศไทยของผู้ประกอบการต่างชาติจาก 15 ประเทศรวม 189 บริษัท ยังคงยืนยันการเข้าร่วมงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2020 “The Hybrid Edition” อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม บราซิล โปแลนด์ นอร์เวย์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ โดยในงานจะมีกิจกรรมพิเศษ อาทิ THAIFEX Start Up Pavilion & Tech Pavilion, THAIFEX Taste Innovation Show และ THAIFEX Trend Zone เป็นต้น รวมทั้งการสัมมนาออนไลน์ฟรีเป็นครั้งแรก” 

    สำหรับงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2020The Hybrid Edition” จะจัดขึ้นทั้งหมด 5 วัน โดยแบ่งเป็นวันเจรจาการค้า ในวันที่ 22-26 กันยายน 2563 และวันจำหน่ายปลีก ในวันที่ 25-26 กันยายน 2563 ซึ่งจัดขึ้น 2 วัน จากเดิมที่จัดเพียง 1 วันเท่านั้น เพื่อส่งเสริมการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ